Sappho of Lesbos | เธอคือผู้ให้กำเนิดคำว่า “เลสเบี้ยน”

การมีอยู่ของรักร่วมเพศอาจสืบย้อนไปได้ไกลถึงยุคอียิปต์ แต่ผู้ให้กำเนิดคำที่ใช้เรียกรักร่วมเพศระหว่างหญิง-หญิงนั้น มาจากเรื่องราวและบ้านเกิดของเธอ และนี่คือเรื่องราวของ “ซาโฟว์แห่งเลสบอส” และทำไมเธอจึงเป็นไอคอนของชาวเลสฯ

ภาพวาดปูนเปียก (Fresco) ที่สันนิษฐานว่าอาจเป็นภาพของ Sappho, Photo : TyB, CC BY 2.0 , via Wikimedia Commons
โฆษณา

Sappho (ออกเสียงว่า ซา-โฟว์ , SA-fow) หรือที่มักทับศัพท์กันว่า “แซฟโฟ” ซึ่งต่อจากนี้จะขอให้ทับศัพท์แซฟโฟตามความเคยชินของคนทั่วไป แซฟโฟเป็นกวีหญิงที่โด่งดังที่สุดในโลกตะวันตกโบราณ ได้รับการยกย่องจากผลงานว่าประหนึ่งเป็นเทพีมิวส์ (Muses) องค์ที่ 10 ความนิยมชมชอบในตัวของซาโฟว์ส่งผลให้มีผลงานศิลปะหลายชิ้นที่สร้างขึ้นโดยอ้างอิงจากตัวเธอ แม้ว่าเธอจะตายไปแล้ว กระแสชื่นชมยังทำให้มีการสร้างภาพเหมือนเพื่อระลึกถึง ตั้งแต่สมัยโรมันจนถึงยุคโมเดิร์น

แต่ตัวจริงแล้วแซฟโฟเป็นใคร กลับเป็นคำถามที่ตอบได้ยาก เพราะแม้กระทั่งผลงานของเธอที่หลงเหลือมาจนถึงยุคเรายังมีน้อยนิด ข้อมูลของเธอส่วนมากได้มาจากบันทึกกับงานเขียนของนักประวัติศาสตร์ยุคหลัง ไม่ก็นักประพันธ์ที่ยกความงดงามของบทกวีเธอมาอ้างอิงถึง อย่างไรก็ตามเราก็พอจะเล่าถึงชีวิตของเธอด้วยการปะติดปะต่อเรื่องราวตามแหล่งต่างๆ พอได้อยู่บ้าง

แซฟโฟเกิดที่เกาะเลสบอส (Lesbos) ประเทศกรีซ ประมาณ 620 ปีก่อนคริสตกาล คาดว่าเธอเกิดในชนชั้นผู้ดีที่คงส่งผลให้เธอสามารถใช้ชีวิตตามอย่างที่ปรารถนา จากบทกวีที่พบในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 21 กล่าวว่าแซฟโฟมีพี่น้องชายร่วมบุพการี 3 คนชื่อว่า Erigyius, Charaxus และ Larichus ชื่อของ Charaxus ยังไปปรากฏในงานของ Herodotus โดยมีการอ้างอิงถึงความสัมพันธ์กับแซฟโฟอย่างชัดเจน และมีการให้ชื่อบิดาคือ Scamandronymus1 นอกจากใน Herodotus’s The Histories แล้ว ก็ไม่มีชื่อของบิดาของแซฟโฟและพี่น้องอยู่ที่ใดอีก

แผนที่แสดงที่ตั้งของเกาะเลสบอส ปักหมุดสีแดงเป็นเมืองสำคัญที่อาจเป็นที่กำเนิดของเธอ, Photo : Linguae, CC BY-SA 4.0, via Wikimedia Commons

ครอบครัวของเธอทำธุรกิจเกี่ยวกับไวน์ในเลสบอส อาจเป็นผู้ผลิตและส่งออกไวน์องุ่นจากเกาะเลสบอส สาเหตุที่ทราบว่าครอบครัวเธอทำธุรกิจไวน์นั้นมาจากเหตุการณ์ที่ระบุว่าไวน์ที่เธอส่งออกนั้นถูกห้ามนำเข้าในซิซิลี (Sicily) เพราะแนวคิดทางการเมืองของเธอไม่ถูกจริตผู้มีอำนาจที่นั่น

ไม่มีข้อมูลเรื่องสามีของแซฟโฟหลงเหลืออยู่มากนัก ยิ่งเป็นข้อมูลร่วมสมัยกับตัวเธอยิ่งมืดมน แต่มีบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับสามีหรือคนรักที่เป็นชายอยู่บ้าง เรื่องหนึ่งเป็นเหมือนเป็นมุกตลกมากกว่าเรื่องจริงที่แซวว่านางแต่งงานกับชายชื่อ Kerkylas แห่งเกาะ Andros แต่คำว่า Andros นั้นแปลว่า บุรุษ ส่วน Kerkylas หมายถึงอวัยวะเพศชาย ด้วยความเสียดสีเช่นนี้ทำให้ยากจะเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง ส่วนอีกกรณีมาจากงานเขียนของนักประวัติศาสตร์ยุคหลังจากนั้น เช่นในเฮรอยด์ (Heroides) บทที่ 15 โดยกวีโอวิด (Ovid) เล่าความรักระหว่างแซฟโฟกับฟาโอน (Phaon) ซึ่งเป็นรักต่างเพศ

นักประวัติศาสตร์บางคนจึงสันนิษฐานว่าฐานะทางสังคมของแซฟโฟทำให้เธอเลือกที่จะไม่แต่งงานก็ได้ แต่ทว่าแนวคิดและค่านิยมของชาวกรีกนั้นมักมุ่งเน้นให้สตรีต้องแต่งงาน มันจึงเป็นการยากเหลือเกินที่จะบอกว่าแซฟโฟมีชีวิตโดยปราศจากสามีและใช้ชีวิตแบบเลสเบี้ยนเต็มที่ บางทีเธออาจจะเคยแต่งงานโดยสามีได้เสียชีวิตลงโดยไม่ได้หลงเหลือในบันทึกใดๆ นอกจากเรื่องสามีที่มีจริงหรือไม่ก็ไม่ทราบ ยังมีข้อมูลบางแห่งบอกว่านางมีลูกสาวชื่อว่า Cleis ที่ตั้งชื่อตามมารดาของแซฟโฟเอง ในขณะที่บางคนก็แย้งว่านี่คือชื่อของคนรักของนางมากกว่าลูกสาว

Portrait of the poetess Sappho, Archaeological Museum of Istanbul, Turkey. Roman copy of an original from the Hellenistic period.Credit : Eric Gaba, Wikimedia Commons user Sting, CC BY-SA 3.0 , via Wikimedia Commons

ทุกวันนี้เรามีโอกาสรู้จักงานของเธอผ่านการอ้างอิงในผลงานคนอื่น มีเพียงกวีของแซฟโฟบทเดียวที่เหลืออย่างสมบูรณ์ ส่วนเนื้อหายาวที่สุดที่เคยพบมีความยาวราว 16 บรรทัด นักวิชาการเชื่อว่าแซฟโฟเขียนงานไว้ราว 10,000 ประโยค แต่ปัจจุบันถูกค้นพบเพียง 650 บรรทัดเท่านั้น แนวประพันธ์ของแซฟโฟเป็นกวีที่เรียกว่า Lyric Poetry เป็นบทกลอนที่บรรยายความรู้สึกของผู้แต่งจากการมองธรรมชาติและเน้นความประทับในอารมณ์ ไม่ค่อยมุ่งไปในทางการเมืองหรือศาสนามากนัก ส่วนมากมักเป็นกวีที่เกี่ยวกับความรัก งานของนางเรียกว่าจับใจเสียจนส่งผลให้นางกลายเป็นคนดังที่ถูกวาดภาพลงบนภาชนะดินเผา มีภาพเหมือนและรูปสลัก ไปจนถึงขนาดมีเหรียญเงินที่บันทึกใบหน้าของแซฟโฟเอาไว้ด้วย

ปกติแล้วจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เธอยังถูกขานในฐานะ Poetess บ่อยครั้ง มีแค่โฮเมอร์ (Homer) เจ้าของผลงานมหากาพย์อีเลียด (Iliad) ที่เรียกเธอว่า The Poet ส่วนเพลโต (Plato) นั้นอวยนางหนักกว่าใครเพื่อน เพราะขานว่าเธอคือเทพีมิวส์องค์ที่ 10 (The tenth muses)

เมื่อได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในด้านวรรณกรรม แซฟโฟก็เริ่มสร้างเครือข่ายของสตรีที่ศึกษาการประพันธ์ในเกาะเลสบอส ลูกศิษย์กลุ่มเหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากบรรดาผู้ใหญ่ที่เห็นว่าวรรณคดีเป็นคุณสมบัติที่ส่งเสริมให้บุตรีของพวกเขามีความเพียบพร้อม…พร้อมที่จะเป็นคู่ครองที่ฉลาดเฉลียวของสามีที่สามารถเอาไปอวดสังคมได้

โฆษณา

แนวคิดที่ว่าแซฟโฟมีรสนิยมทางเพศในลักษณะของรักร่วมเพศระหว่างหญิง-หญิงเริ่มมาจากงานเขียนของตัวเธอกับข้อมูลบอกเล่าจากนักเขียนยุคหลังๆ มากกว่าที่จะมีหลักฐานโดยตรงเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว แซฟโฟได้มีการแต่งบทกวีที่บรรยายถึงความรู้สึกหลงใหลในตัวสตรีไว้บางส่วน ร่วมกับข้อซุบซิบบางอย่างว่าตัวเธอเองก็มีรสนิยมทางเพศในลักษณะดังกล่าว

สำหรับสังคมในยุคนั้นเป็นเรื่องปกติมากหากผู้ชายจะมีรสนิยมค่อนไปทางรักร่วมเพศ Homosexual) หรือรักร่วมสองเพศ (Bisexual) ด้วยระบบของแนวคิดแบบ Pederasty ที่เด็กหนุ่มต้องผ่านความสัมพันธ์กับชายอาวุโสเพื่อผ่านไปสู่วัยหนุ่ม แต่กับผู้หญิงนั้นเป็นไปในทางตรงข้าม ค่านิยมแบบรักร่วมเพศของผู้หญิงถูกมองว่าไม่เหมาะสม การกล่าวหาว่าใครมีพฤติกรรมดังกล่าวมักส่งผลในแง่ลบเกี่ยวกับชื่อเสียงและเกียรติยศ ความน่าละอายเหล่านี้ถูกนำมาแต่งเติมเขียนเป็นเรื่องราวในงานของโอวิด (Ovid) ที่เล่าความรักระหว่างแซฟโฟกับฟาโอน โดยได้บรรยายถึงความคับข้องใจของแซฟโฟที่ถูกประนามเล่าลือในฐานะรักร่วมเพศ

Sappho and Phaon (1809)by Jacques-Louis David, Public domain, via Wikimedia Commons

ชื่อของแซฟโฟและสโมสรหญิงในบ้านเกิดของเธอกลายเป็นรากศัพท์ของคำภาษาอังกฤษที่กล่าวถึงความเป็นรักร่วมเพศ ตั้งแต่คำว่า Sapphic ไปจนถึง Lesbien ที่แผลงมาจากเกาะเลสบอส

หากแซฟโฟไม่ได้มีเพียงรสนิยมในการชอบสตรี แต่หมายถึงบุรุษด้วย เราอาจเข้าใจรสนิยมทางเพศของเธอว่าเป็นไบ-เซ็กช่วลก็ได้ ถึงแม้มุมมองในพฤติกรรมทางเพศอย่างเดียวกันจะถูกมองต่างกันเมื่อผู้ปฎิบัติเป็นหญิง แต่ดูเหมือนผลงานของเธอจะทำให้ข้อครหาในยุคดังกล่าวถูกมองข้ามไปในสายตาของบรรดาชาวกรีก ไม่ก็สุดท้ายแล้วข่าวลือก็เป็นแค่ข่าวลือ

อย่างไรก็ตามความเชื่อและเสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับความเป็นรักร่วมเพศก็ยังกินกระแสมายาวนานถึงยุคกลาง เมื่อคริสตจักรเริ่มเห็นว่ากวีนิพนธ์หญิงรักหญิงไม่ถูกทำนองคลองธรรม งานของแซฟโฟที่เหลือมาถึงยุคนี้ก็ถูกทำลายลงไปด้วยเงื่อนไขทางศีลธรรมของศาสนาที่มองว่ารักร่วมเพศเป็นบาป น่าเสียดายที่คนรุ่นหลังมีโอกาสได้สัมผัสงานของเธอเพียงน้อยนิด

วาระสุดท้ายของซาโฟว์หรือแซฟโฟยังเป็นปริศนาพอๆ กับการเกิดและใช้ชีวิตของนาง มีนักประพันธ์บางคนได้เขียนกวีถึงการตายของแซฟโฟว่าเป็นการฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดจากที่สูง แต่ไม่มีใครที่จะสามารถระบุได้ว่ายอดกวีหญิงคนนี้สิ้นชีพไปเพราะเหตุใดจนถึงปัจจุบัน

โฆษณา

Featured Image : Sappho and Erinna in the Garden Mytelene by Simeon Solomon (1864)


1 Herodotus.(Book2. Chapter 134-135)

References :