หากพูดถึงกษัตริย์อยุธยาสักองค์ที่มีเรื่องราวค่อนข้างจะดุเด็ดเผ็ดมัน เราคงละเลยที่จะไม่พูดถึงองค์นี้เป็นไม่ได้ เพราะทั้งมีเสียงกระซิบว่าทรงเป็นโอรสลับและมีพระนิสัยดุร้ายจนเป็นที่มาของชื่อ “พระเจ้าเสือ” นี่คือสมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี กษัตริย์พระองค์ที่ 29 แห่งอาณาจักรอยุธยา

เรื่องราวความแซ่บจากพงศาวดารของพระเจ้าเสือเริ่มตั้งแต่เรื่องการกำเนิดที่ค่อนข้างมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าทรงเป็นพระโอรสลับของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชซึ่งเกิดแต่ธิดาชาวเชียงใหม่ในช่วงที่พระนารายณ์เสด็จขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ แต่พระนารายณ์เกิดละอายพระทัยและไม่สามารถยอมรับเด็กในครรภ์จึงได้พระราชทานธิดานางนี้ให้กับพระเพทราชาซึ่งเป็นแม่ทัพมีความดีความชอบในสงครามนั้น เด็กดังกล่าวจึงเติบโตโดยมีบิดาคือพระเพทราชา และได้ชื่อว่าเดื่อ
จนกระทั่งเติบใหญ่เข้ารับราชการเป็นหลวงสรศักดิ์นั้น ก็ได้รับความโปรดปรานของพระนารายณ์ราวกับพระราชบุตร ส่งผลให้เอกสารของพวกฝรั่งเศสเชื่อไปว่าคงเป็นพระโอรสของพระนารายณ์ โดยแท้จริงแล้วอาจมีสถานะเดียวกับพระปีย์ซึ่งเป็นราชบุตรบุญธรรมอีกพระองค์หนึ่ง
ต่อมาหลวงสรศักดิ์ได้ร่วมกันกับบิดาทำการชิงบัลลังก์อยุธยาจนพระเพทราชาได้ปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์รัชสมัยต่อจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่ออยู่ในรัชกาลของพระเพทราชาจึงได้ตำแหน่งพระมหาอุปราชหรือกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ก่อนที่เมื่อสิ้นพระเพทราชารวมถึงผู้มีแนวโน้มช่วงชิงอำนาจแล้ว หลวงสรศักดิ์จึงได้ครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 หรือสมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี และมีสมญานามว่า “พระเจ้าเสือ“
สำหรับบันทึกที่พูดถึงการเป็นโอรสลับพระนารายณ์นั้นมาจากพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหมอบรัดเล บรรยายถึงเหตุการณ์ที่ทรงทำให้ราชธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่มีพระครรภ์และทรงเกิดความละอายพระทัยและได้ยกนางให้กับพระเพทราชาที่เคยทำความดีความชอบเรื่องการสงครามมาหลายหน ดังที่เขียนเอาไว้ว่า
“ในขณะนั้นพระเพทราชาจางวางกรมช้าง เปนชาวบ้านพลูหลวงแขวงเมืองสุพรรณ์บูรี มีบุญญาธิการมาก แลกระทำราชการชำนิชำนาญในการสิลปสาตขี่ช้างแกล้วกล้ายิ่งนัก แล้วก็มีฝีมือในสงคราม กระทำความชอบมาเปนหลายหนแล้ว ได้โดยเสดจ์งานพระราชสงครามครั้งเมืองเชียงใหม่นั้นด้วย สมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาแก่พระเพทราชานั้น แล้วเมื่อเสดจ์พระราชตำเนิรมาจากเมืองเชียงใหม่นั้น พระองค์เสดจ์ทรงสังวาศด้วยราชธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่ แลนางนั้นก็ทรงครรภขึ้นมา ทรงพระกรุณาละอายพระไทย จึ่งพระราชทานนางนั้นให้แก่พระเพทราชาแล้วดำรัศว่า นางลาวคนนี้มีครรภขึ้นมา เราจะเอาไปเลี้ยงไว้ในพระราชวัง ก็คิดละอายแก่พระสนมทั้งปวง แลท่านจงรับเอาไปเลี้ยงไว้ณะบ้านเถิด แลพระเพทราชาก็รับพระราชทานเอานางนั้นไปเลี้ยงไว้ณะบ้าน[1]“
หมายเหตุ : ข้อความใน “……” คัดลอกมาจากพงศาวดารและเอกสารทางประวัติศาสตร์เป็นการคัดลอกโดยคงการสะกดตามต้นฉบับที่คัดลอกมา ซึ่งอาจมีวิธีการสะกดแตกต่างไปตามรูปแบบราชบัณฑิตซึ่งเกิดขึ้นภายหลังในปัจจุบัน
เป็นที่น่าประหลาดใจเมื่อพงศาวดารฉบับหมอบรัดเลให้เหตุผลเรื่องการยกสนมเชื้อสายลาวให้กับพระเพทราชาเป็นเพราะ “ความละอาย” ซึ่งในสถานะของพระนารายณ์เองนั้นหากจะมีพระสนมจนนางมีครรภ์ก็เป็นเรื่องที่ไม่ขัดต่อพระราชอำนาจ ยังมีเอกสารอีกฉบับที่พูดคล้ายกันเพียงมีรายละเอียดแตกต่างไปเล็กน้อยคือ คำให้การชาวกรุงเก่า ฉบับหลวงแปลจากภาษาพม่า ในบันทึกคำให้การเรียกพระเพทราชาว่าเจ้าพระยาสุรสีห์และธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่ชื่อนางกุสาวดีผู้เป็นพระมารดาของพระเจ้าเสือและเล่าเอาไว้ดังนี้…
“พระนารายน์จึงมีรับสั่งให้เจ้าพระยาสุรสีห์เข้าไปเฝ้าแล้วตรัสว่า บัดนี้นางกุสาวดีสนมของเรามีครรภ์ขึ้น เราได้ตั้งสัตย์ไว้แล้วว่าจะไม่เลี้ยงลูกสนม เจ้าจงเอานางนี้ไปเลี้ยงเปนภรรยา ถ้าลูกในครรภ์นั้นเปนชายเจ้าจงว่าลูกของเจ้า ต่อเปนหญิงจึงส่งมาให้เรา แล้วพระนารายน์ก็ทรงมอบนางกุสาวดีให้แก่เจ้าพระยาสุรสีห์ ๆ ก็พาไปเลี้ยงไว้ ครั้นถ้วนกำหนดแล้วนางกุสาวดีก็คลอดโอรสเปนชาย เจ้าพระยาสุรสีห์ก็นำความกราบบังคมทูลพระนารายน์ พระนารายน์จึงพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคแก่กุมารนั้นเปนอันมาก[2]”
ไม่ว่าหลวงสรศักดิ์จะเป็นพระโอรสจริงหรือไม่ แต่ก็ได้รับความรักใคร่เอ็นดูมาจากสมเด็จพระนารายณ์อย่างเห็นได้ชัด และส่งผลให้พระเจ้าเสือนั้นเพิ่มพูนความอหังการ์ของตนได้อย่างไม่ยากเย็น
ฉายาพระเจ้าเสือนั้นแค่ได้ยินก็คงคาดเดากันได้แล้วว่าทรงมีความเป็นคนดุร้าย มุทะลุ ทั้งยังทรงมีความห้าวหาญไม่เกรงกลัวใคร ตัวอย่างความห้าวของพระองค์ครั้งหนึ่งมาจากเหตุการณ์ที่ทรงถวายหมัดให้แก่คอนสแตนติน ฟอลคอนหรือออกญาวิไชเยนทร์คนโปรดของสมเด็จพระนารายณ์ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเพียงหลวงสรศักดิ์ พงศาวดารเล่าเหตุการณ์ความขัดแย้งได้อย่างถึงพริกถึงขิงว่า
"แลหลวงสรศักดิ์จึ่งคิดว่า ไอ้ฝรั่งคนนี้มันโปรดปรานยิ่งนัก จะกระทำผิดสักเท่าใด ๆ ทรงพระกรุณามิได้เอาโทษ แลกูจะทำโทษมันเองสักครั้งหนึ่ง จึ่งเข้าไปคอยเจ้าพระยาวิชาเยนทร์อยู่ที่เคยนั่งว่าราชการในพระราชวังนั้น ครั้นเช้าเจ้าพระยาสมุหนายกฝรั่งเข้าไปในพระราชวัง แล้วก็นั่งว่าราชการในที่นั้น แลหลวงสรศักดิ์เหนได้ทีก็เข้าชกเอาปากเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ฟันหักสองซี่[3]"
นอกจากเรื่องชาติกำเนิดกับความมุทะลุแล้ว เรื่องชีวิตรักๆ ใคร่ๆ ของพระองค์ยังถูกกล่าวถึงในลักษณะที่ส่อไปในทางลบจนอาจเรียกว่าเป็นข้อเสียหนึ่งของพระองค์ ตัวอย่างพฤติกรรมด้านชู้สาวอย่างหนึ่งของพระเจ้าเสือปรากฏในคำให้การชาวกรุงเก่าฉบับเดียวกันกับที่บันทึกเรื่องชาติกำเนิดของพระองค์ โดยเล่าเหตุการณ์ท้าทายกันระหว่างพระเจ้าเสือกับเจ้าพระยาราชวังสัน
“เมื่อเจ้าพระยาสีห์สูจักรมีอายุเจริญรุ่นหนุ่มแล้ว ได้รักใคร่กันกับบุตรสาวเจ้าพระยาราชวังสัน คอยหาโอกาศที่จะร่วมรักลักพาอยู่เสมอ เจ้าพระยาราชวังสันก็ทราบ ว่าเจ้าพระยาสีห์สูจักรรักใคร่บุตรสาวของตนคอยหาโอกาศที่จะร่วมรักลักพาอยู่ วันหนึ่งเจ้าพระยาราชวังสันพบกับเจ้าพระยาสีห์สูจักรในพระราชวังจึงพูดว่า สิ่งใดที่ท่านคิดเกี่ยวข้องกับเรา ๆ ทราบแล้ว ถ้าท่านอาจจะคิดโดยลับๆ ไม่ให้เราแลใครๆ รู้ได้ เรายอมอนุญาตให้ เจ้าพระยาสีห์สูจักรจึงตอบว่า ท่านพูดกับเราดังนี้ยังจะจริงหรือ เจ้าพระยาราชวังสันก็ตอบว่าจริง เจ้าพระยาสีห์สูจักรจึงว่า ถ้ากระนั้นเราจะพยายามให้สำเร็จความปราร์ถนาในคืนวันนี้ พูดกันแล้วต่างคนก็หลีกไป ในวันนั้นเจ้าพระยาราชวังสัน จึงสั่งให้ค่าทาษของตนรักษาโดยกวดขัน แลให้มีมโหรศพการรื่นเริงเปนเพื่อนรักษาด้วย ครั้นดึกประมาณ ๒ ยามเศษ เจ้าพระยาสีห์สูจักรจึงเอาทรายมาเศกเป่าแล้วสาดเข้าไปในพวกที่รักษา พวกที่รักษาถูกทรายสกดของเจ้าพระยาสีห์สูจักรก็เคลิ้มหลับไปสิ้น เจ้าพระยาสีห์สูจักรจึงลอบเข้าไปหาบุตรสาวเจ้าพระยาราชวังสัน ได้ร่วมรักเปนสามีภรรยากันในคืนวันนั้น แล้วจึงขอแหวนของนางนั้นสอดนิ้วมาวง ๑ ครั้นถึงเวลาเข้าเฝ้าจึงใส่แหวนที่นางให้มานั้นไปด้วย ครั้นพบกับเจ้าพระยาราชวังสันจึงถอดแหวนออกอวด แล้วแกล้งพูดว่า แหวนวงนี้ราคาสักเท่าไร เจ้าพระยาราชวังสันเห็นแหวนก็จำได้ เข้าใจว่าเจ้าพระยาสีห์สูจักรได้ไปหาบุตรสาวของตนได้เสียกันแล้ว ก็มิได้ตอบประการใด เปนแต่พูดว่า ท่านนี้ดีจริง ดังนี้ เจ้าพระยาสีห์สูจักรก็แจ้งความตามจริง แล้วขอโทษที่ตนได้ล่วงเกินเพราะที่พูดท้าทายกันไว้ เจ้าพระยาราชวังสันเห็นว่า เจ้าพระยาสีห์สูจักรเปนคนเชี่ยวชาญในเวทมนต์ แลมีลักษณกล้าแขง เห็นว่าจะมีบุญต่อไปข้างน่า ก็เลยยกธิดาของตนให้ [4]”
เห็นได้ชัดว่าทรงไม่โปรดการถูกท้าทายและยังพร้อมจะพิสูจน์ตนให้ได้เห็น ลอบเข้าไปสังวาสกับบุตรสาวเขาแล้วก็ยังนำหลักฐานมาแสดงแก่บิดา พระราชวังสันจะไม่ยกบุตรสาวให้ก็เสียไม่ได้
แต่เรื่องที่ทรงลอบไปสังวาสกับบุตรสาวขุนนางนั้นยังไม่ร้ายแรงเท่ากับข้อหาที่พงศาวดารอยุธยาโดยเฉพาะฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) นั้นมีการเขียนให้ร้ายพระเจ้าเสืออย่างหนักหน่วงในฐานะกษัตริย์ผู้มีความทารุณหยาบช้า โปรดการเสพสังวาสกับภรรยาของขุนนาง ที่รุนแรงคือการเล่าว่าพระองค์นั้นมีพฤติกรรมส่อไปในทางที่เรียกว่า “ใคร่เด็ก” (Paedophilia) ขอยกข้อความจากพงศาวดารมาดังนี้
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพอพระทัยเสวยน้ำจัณฑ์ แล้วเสพสังวาสด้วยดรุณีอิตถีสตรีเด็กอายุ 11-12 ปี ถ้าสตรีใดเสือกดิ้นโครงไป ทรงพระพิโรธลงพระราชอาชญาถองยอดอกตายกับที่ ถ้าสตรีใดไม่ดิ้นเสือกโครงนิ่งอยู่ ชอบพระอัชฌาสัย พระราชทานบำเหน็จรางวัล ประการหนึ่งถ้าเสด็จไปประพาสมัจฉาชาติฉนากฉลามในชลมารคทางทะเลเกาะสีชังเขาสามมุขและประเทศที่ใด ย่อมเสวยน้ำจัณฑ์พลาง ถ้าหมู่พระสนมนิกรนางในและมหาดเล็กชาวที่ทำให้เรือพระที่นั่งโคลงไหวไป มิได้มีพระวิจารณะ ปราศจากพระกรุณาญาณ ลุอำนาจแก่พระโทโส ดำรัสสั่งให้เอาผู้นั้นเกี่ยวเบ็ดทิ้งลงไปกลางทะเล ให้ปลาฉนากฉลามกินเป็นอาหาร ประการหนึ่ง ปราศจากพระเบญจางคิกศีล มักพอพระทัยทำอนาจารเสพสังวาสกับภรรยาขุนนาง แต่นั้นมาพระนามปรากฏเรียกว่า พระเจ้าเสือ[5]“
เอกสารหนึ่งซึ่งให้รายละเอียดถึงรสนิยมใคร่เด็กของพระองค์เหมือนกับฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ก็คือพงศาวดารฉบับคัดลอกจากบริติชมิวเซียม เพียงแต่ละเรื่องการชอบสังวาสกับภริยาผู้อื่นเหลือเพียงข้อหาที่ร้ายแรงที่สุดอย่างการนิยมสังวาสกับเด็กที่ยังไม่มีระดู (ประจำเดือน) และหากหญิงใดดื้อดึงก็จะถูกพระราชอาญาด้วยพระหัตถ์พระองค์เองเช่นนี้
"ครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินมีพระราชหฤทัยกักขฬะ หยาบช้า ทารุณ ร้ายกาจ ปราศจากกุศลสุจริต ทรงพระประพฤติผิดพระราชประเพณี มิได้มีหิริโอตัปปะ และพระทัยหนาไปด้วยอกุศลลามก มีวิตกในโทสะ โมหะมูลเจือไปในพระสันดานเป็นนิรันดรมิได้ขาด และพระองค์เสวยน้ำจัณฑ์ขาวอยู่เป็นนิจ แล้วมักยินดีในการอันสังวาสด้วยนางกุมารีอันยังมิได้มีระดู ถ้าและนางใดอุตส่าห์อดทนได้ ก็พระราชทานรางวัลเงินทองผ้าแพรพรรณต่าง ๆ แก่นางนั้นเป็นอันมาก ถ้านางใดอดทนมิได้ไซร้ ทรงพระพิโรธ และทรงประหารลงที่ประฉิมุราประเทศให้ถึงแก่ความตาย แล้วให้เอาโลงเข้ามาใส่ศพนางนั้นออกไปทางประตูพระราชวังข้างท้ายสนมนั้นเนือง ๆ และประตูนั้นก็เรียกว่าประตูผีออก มีมาตราบเท่าทุกวันนี้[6]”
พิจารณาจากข้อความต่างๆ แล้ว ภาพของพระเจ้าเสือในพงศาวดารที่เขียนขึ้นโดยคนไทยนั้นวาดภาพพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ร้ายกาจและมักมากในกามอย่างน่าตกใจ แม้ว่าในรัชสมัยสั้นๆ ของพระองค์เองนั้นจะปรากฏตำนานของพันท้ายนรสิงห์ที่แสดงถึงพระเมตตาต่อข้าราชบริพารจนเมื่อทรงต้องยอมประหารนายพันท้ายแล้ว ก็ยังโปรดให้มีการขุดคูคลองที่คดเคี้ยวจนเป็นเหตุลำบากต่อการสัญจรให้สะดวกขึ้น อย่างไรก็ตามการจะพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงมีรสนิยมแซ่บๆ เช่นนี้มากน้อยเพียงไรคงเป็นการยาก คงมีแต่เพียงหลักฐานจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ตามที่ยกตัวอย่างมาเป็นภาพสะท้อนหนึ่งเท่านั้น
[1] พระราชพงศาวดารกรุงเก่า (ฉบับหมอบรัดเล), 2406
[2] คำให้การชาวกรุงเก่า ฉบับนี้แปลใหม่จากฉบับหลวงที่ได้มาจากเมืองพม่า, 2457
[3] เรื่องเดิม, 2406
[4] เรื่องเดิม, 2457
[5] จันทนุมาศ (เจิม), พัน (2479). ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 64 พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม). โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร.
[6] ประชุมพงศาวดารภาคที่ 82 เรื่องพระราชพงศาวดารกรุงสยามจากต้นฉบับของบริติชมิวเซียมกรุงลอนดอน. กรุงเทพฯ : พิมพ์ครั้งที่ 2, กรมศิลปากร, 2537
Featured image : รายการ Checkin ถิ่นสยาม ตอน พิจิตร via ข่าวสดออนไลน์

References :
- คำให้การชาวกรุงเก่า ฉบับนี้แปลใหม่จากฉบับหลวงที่ได้มาจากเมืองพม่า (2457).ห้องสมุดดิจิทัลวัชรญาณ.Retrieved August 15, 2023, from https://vajirayana.org/คำให้การชาวกรุงเก่า
- จันทนุมาศ (เจิม), พัน (2479). ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 64 พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม). โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร.
- ประชุมพงศาวดารภาคที่ 82 เรื่องพระราชพงศาวดารกรุงสยามจากต้นฉบับของบริติชมิวเซียมกรุงลอนดอน. กรุงเทพฯ : พิมพ์ครั้งที่ 2, กรมศิลปากร, 2537
- พระราชพงศาวดารกรุงเก่า (ฉบับหมอบรัดเล). (2406). ห้องสมุดดิจิทัลวัชรญาณ. Retrieved August 15, 2023, from https://vajirayana.org/พระราชพงษาวดารกรุงเก่า-ฉบับหมอบรัดเล.
