#โยไคอะไรเนี่ย EP13 ต้าวงูอ้วง สึจิโนโกะ [槌の子] + โนซึจิ [野槌]

โยไคที่หลายคนรู้จักกันดีผ่านสื่อต่างๆ สึจิโนโกะหรือเจ้าสากน้อยตัวนี้เป็นโยไคที่ฮิตในกระแสการรับรู้ของสังคมญี่ปุ่นมาอย่างยาวนานและเหนียวแน่น ชนิดที่มีเทศกาลตามล่าเป็นของตัวเอง

โฆษณา

สึจิโนโกะเป็นโยไคที่มีหน้าตาพื้นๆ แต่แฝงความน่ารักสำหรับคนไม่กลัวงู เพราะรูปร่างของสิ่งนี้เหมือนงูตัวอ้วนสั้น ดูเป็นมิตรแต่มีพิษร้ายกาจ แถมตัดหัวไปแล้วตัวก็ไม่ตาย สึจิโนโกะเป็นสัตว์ประหลาดเร้นลับที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์หรือที่เรียกว่า Cryptid แต่ได้รับความนิยมชมเชื่อจากชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมากจนเกิดกระแสสึจิโนโกะฟีเวอร์ไปช่วงหนึ่งเลยทีเดียว

ชื่อของสึจิโนโกะที่เป็นคันจิ 2 ตัวนั้นแปลได้ว่าเป็น “ลูกแห่งดิน” หรือที่คุ้นกว่าคือ “เจ้าค้อนน้อย”, “เจ้าสากน้อย” ซึ่งดูสอดคล้องกับลักษณะทางกายภาพของโยไคที่มีรูปร่างป้อมสั้น มีส่วนหัวเล็กแต่ลำตัวอ้วนใหญ่ ดูเผินๆ คล้าย “สึจิ” [槌] เครื่องมือไม้ของญี่ปุ่นกลุ่มที่ไว้ใช้เป็นค้อนหรือสาก

นอกจากชื่อสึจิโนโกะแล้ว เจ้าค้อนน้อยยังมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น อย่างกิกิ-เฮบิ (gigi-hebi) กับบาชิเฮบิ [バチヘビ] ในจังหวัดอากิตะ [秋田県], โคโระ (koro) หรือโคโระ-เฮบิ (koro-hebi) ในจังหวัดฟุคุอิ [福井県] และสึจิโคโระบิ [土転び] จากจังหวัดทตโตริ [鳥取県]

ลักษณะของสึจิโนโกะโดยทั่วไปจะคล้ายงูตัวสั้น ช่วงศีรษะกับหางเล็ก ลำตัวจะอวบอ้วนเหมือนเวลางูปกติกินเหยื่อขนาดใหญ่เข้าไป ความยาวพบได้ตั้งแต่ 30 เซนติเมตรจนถึง 80 เซนติเมตร สีของเกล็ดจะเป็นสีธรรมชาติ (Earth tone) ส่วนท้องจะมีสีอ่อน ที่แตกต่างไปจากงูธรรมดาคือสึจิโนโกะจะมีเปลือกตา มีเขี้ยวแบบงูพิษซึ่งเป็นอันตรายถึงตายได้

อาหารของสึจิโนโกะมักเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็กกว่าอย่างแมลง, กบ และหนู ตอนยังเล็กจะเน้นกินแต่แมลง พอโตขึ้นจึงขยับไปกินกบกับหนู มีบ้างที่มีคนอ้างว่ามันกินแมวหรือสุนัขเพียงแต่ไม่บ่อย สึจิโนโกะค่อนข้างกินอาหารในปริมาณมากสวนทางกับขนาดตัวที่บางคนเรียกว่าเหมือนขวดเบียร์ โยไคชนิดนี้มักถูกดึงดูดด้วยกลิ่นของมิโซะ ปลาหมึกแห้ง ขนที่ถูกเผาไหม้ พิเศษหน่อยคือพวกมันก็ชื่นชอบสาเกด้วย

สึจิโนโกะยังมีความคล้ายคลึงกับโนซึจิ [野槌] โยไคหน้าตาคล้ายกันแต่มักพบในทุ่งหญ้าจึงถูกเรียกด้วยชื่อที่แปลว่า “ค้อนทุ่ง” (field mallet) โนซึจิจะมีลักษณะป้อมแบบค้อนไม้ ไม่มีตา จมูก หรือใบหน้า มีเพียงปากกว้างๆ เท่านั้น ลำตัวปกคลุมไปด้วยขน เป็นโยไคที่ห่วงถิ่น ถ้ามีคนบุกรุกไปใกล้กับรังมันจะรีบออกมาโจมตี อาจด้วยการกลิ้งชนหรืองับด้วยปากใหญ่ๆ

Nozuchi (野槌, a legendary serpentine monster) from the Konjaku Gazu Zoku Hyakki (今昔画図続百鬼) by Toriyama Sekien (鳥山石燕, Japanese, *1712, †1788), Public domain, via Wikimedia Commons

ตำนานของโนซึจิคล้ายกับสึจิโนโกะ กล่าวคือเชื่อว่าการเจอโนซึจิก็อาจทำให้ป่วยได้ ปากของโนซึจิก็อันตรายถ้าถูกกัด ส่วนเรื่องอาหารการกินก็เหมือนๆ สึจิโนโกะ หากเราไม่นับว่ามันสามารถกินกวางในเมืองนาระเป็นสิ่งน่ากลัว โนซึจิก็แค่หนอนยักษ์มีขนเท่านั้น และสุดท้ายโนซึจิก็ถูกเรียกรวมๆ ว่าเป็นโยไคกลุ่มที่อยู่ภายใต้ชื่อสึจิโนโกะตามความเข้าใจของคนยุคหลังด้วยความคล้ายคลึงประมาณนี้

โฆษณา

เรื่องเล่าเกี่ยวกับสึจิโนโกะพบได้ทั่วญี่ปุ่น สามารถพบในยามกลางวันช่วงฤดูใบไม้ผลิจนถึงฤดูใบไม้ร่วง ส่วนหน้าหนาวมักจะจำศีล ชอบสร้างรังตามโพรงไม้ริมฝั่งน้ำ เสียงร้อง “ชี่–” เป็นเอกลักษณ์ แถมตอนนอนหลับก็มักมีเสียงกรนแลดูน่ารักแบบแปลกๆ คงเพราะลักษณะเหล่านี้เองที่ทำให้มีคนอยากพบเจอและมีความชื่นชอบสึจิเนโกะเป็นพิเศษจนเกิดเป็นยุคบูมของพวกมันภายหลัง

เหมือนโยไคอีกหลายชนิด เรื่องราวของสึจิโนโกะเริ่มเป็นที่รู้จักในยุคเอโดะ พบรายงานและเรื่องเล่าของการพบสึจิโนโกะทั่วไป หนึ่งในตำนานเมืองของคานาซาวะที่บันทึกไว้ปีค.ศ.1807 เกี่ยวกับทางลาดแห่งหนึ่งซึ่งมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น เกิดสิ่งปริศนาที่ก่อตัวขึ้นจนดูประหลาดแม้แต่ตอนกลางวัน เย็นวันหนึ่งที่มีฝนพรำ มีชายที่สัญจรผ่านทางลาดได้เห็นบางอย่างกลิ้งตัวมาตามทาง พอดูดีๆ ก็พบว่ามันเหมือนค้อนหนาแน่นมีสีดำทั้งหมด มันขยับไปมาก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะดังเหมือนสายฟ้าฟาดแล้วหายไป คนที่มีประสบการณ์อย่างเดียวกันนี้มักจะต้องล้มป่วยในอีกไม่กี่วันต่อมา

Nozuchi (Tsuchinoko) from the Shinano-Kishōroku (1834) by Ide Dōtei (井出道貞), Public domain, via Wikimedia Commons

การที่ชื่อของสึจิโนโกะกับโยไคอื่นๆ ที่มีลักษณะอย่างเดียวกันเริ่มต้นจากการถูกหลอมรวมในงานหนังสือชื่อ “นิเกโระ สึจิโนโกะ” [逃げろツチノコ] ของยามาโมโตะ โซเซกิ [山本素石] ตีพิมพ์ในช่วงปี 1973 โดยการรวมตำนานเรื่องเล่าต่างๆ มาเขียนรวมกัน ส่วนยามาโมโตะเองก็เล่าประสบการณ์ส่วนตัวในเล่มว่าสึจิโนโกะที่เขาพบนั้น มีลักษณะเหมือนขวดเบียร์ ผลงานเรื่องนี้ทำให้เกิดกระแสตื่นตูมเกี่ยวกับสึจิโนโกะช่วงยุคโชวะเป็นอย่างมาก

ภาพประกอบในงานของยามาโมโตะกลายเป็นต้นแบบของภาพสึจิโนโกะในมังงะยุคต่อมา เกิดกระแสความนิยมโยไคชนิดนี้ ไปจนถึงการนำชื่อไปใช้เรียกโยไคที่มีหน้าตาเป็นงูหรือสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆ ความนิยมตรงนี้เองที่ทำให้สึจิโนโกะพัฒนาจากสิ่งเหนือธรรมชาติมาเป็นสัตว์หายากที่คนเชื่อว่ามีอยู่จริง และแม้ว่าจะทยอยเสื่อมความนิยมไปอย่างช้าๆ สึจิโนโกะก็ไม่เคยเป็นตำนานที่ตายไปโดยสิ้นเชิง

ในช่วงปี 2000 มีข่าวที่กระตุ้นความสนใจในตัวสึจิโนโกะกลับมาอีกครั้ง เมื่อมีคนอ้างว่าเจอซากของสิ่งที่เหมือนตัวสึจิโนโกะในจังหวัดโอคายามะ เป็นข่าวดังออกไปทั่วญี่ปุ่น (แม้ว่าตอนหลังจะมีนักชีววิทยาออกมาชี้ว่ามันคืองูหรือกิ้งก่าชนิดนึงก็ตาม) ทำให้โยไคชนิดนี้กลับมาฮิตอีกครั้ง และครั้งนี้ส่งผลให้ท้องที่บางแห่งจัดเทศกาลตามหาสึจิโนโกะเป็นกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว ผู้คนจากหลายแห่งเดินทางมาร่วมงานนี้เพราะเสมือนเป็นการมาตากอากาศโดยมีตำนานของสึจิโนโกะเป็นตัวนำพา พ่อแม่จึงมักพาลูกๆ มาร่วมตามหาสึจิโนโกะอย่างสนุกสนานเป็นประจำ เพราะต่อให้จะเจอหรือไม่ เด็กๆ ก็ได้เล่นสนุกกับธรรมชาติรอบตัวไปแล้วนั่นเอง


โฆษณา

References :

  • Foster, Michael Dylan.( 2009).Pandemonium and parade. Los Angeles, California: University of California Press
  • Foster, Michael Dylan.(2015). The Book of Yōkai: Mysterious Creatures of Japanese Folklore. Oakland: University of California Press.
  • Meyer, M. (2015). The night parade of one hundred demons (2nd ed.)
  • Meyer,M.(n.d.).Tsuchinoko.Yokai.Retrieved 20 June 2023, from https://yokai.com/tsuchinoko/.