ในประวัติศาสตร์ชาติตะวันตกมีการมอบสิงโตเป็นบรรณาการแก่จีนอยู่ตลอด แต่เดิมชาวจีนเรียกสิงโตว่า “狻猊 suān ní(เดิมอ่านออกเสียงเหมือน 蒜泥 suàn ní” ซึ่งถอดเสียงมาจากภาษาเซิร์บของชาวเซอร์เบีย คำว่า sarvanai หรือ sarauna จากนั้นด้วยอิทธิพลชาติตะวันตกทำให้ชาวจีนเปลี่ยนอักษรจาก “狻猊” เป็น “Shir(狮)” ตามอย่างภาษาเปอร์เซีย

จดหมายเหตุสมัยราชวงศ์ฮั่น ราชวงศ์เหนือ-ใต้ ตลอดจนราชวงศ์ถังต่างก็บันทึกไว้ว่าสิงโตมาจากเอเชียกลาง ตั้งแต่เปอร์เซียถึงซินเจียง จนกระทั่งช่วงราชวงศ์หมิงและชิง สิงโตจากเอเชียกลางก็ได้หายไปจนหมดสิ้น ปัจจุบัน ทั่วทั้งทวีปเอเชียมีเพียงบางแห่งในประเทศอินเดียเท่านั้นที่ยังพบสิงโตอยู่ ทว่าสิงโตสายพันธ์ุเดิมที่เคยมีในเปอร์เซียและอินเดียนั้นได้สูญพันธ์ุไปแล้ว

สิงโตในเอเชียกลางก็ไม่ต่างจากมังกรในจีน ล้วนแต่เป็นสัญลักษณ์แทนพลังอำนาจ ขณะเดียวกันกษัตริย์ในแถบเอเชียกลางต่างก็เคยใช้ชื่อที่มีความหมายว่าสิงโต เช่น Aslan หรือ ạlạ̉sd ในภาษาอาหรับ และสิงห (Singh)ภาษาอินเดีย

ทว่าเมื่อสิงโตมาถึงจีน แน่นอนว่าไม่สามารถเทียบชั้นกับมังกรได้ แม้ว่าสำหรับประชาชนทั่วไปสิงโตจะเป็นสัญลักษณ์ของนักล่า แต่ในสายพระเนตรของฮ่องเต้แล้ว สิงโตเป็นเพียงแค่สัตว์ป่าที่สูงกว่าสัตว์ชนิดอื่นเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ว่าก็สิงโตทำให้ฮ่องเต้พอพระทัย ดังนั้นแคว้นต่างๆ ทางตะวันตกจึงส่งสิงโตมาเป็นเครื่องบรรณาการเพื่อความสัมพันธ์ทางการทูตและการติดต่อค้าขายกับจีน เปรียบกับหมีแพนด้าในปัจจุบันที่เป็นเครื่องมือสำหรับการเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ
การมอบสิงโตเป็นเครื่องบรรณาการนั้น นอกจากเส้นทางเดินทางจะยาวไกลและลำบาก สิงโตยังเป็นสิ่งมีชีวิต อาจป่วยหรืออาจตายได้ ดังนั้นการมอบสิงโตเป็นบรรณาการไม่ใช่สิ่งที่ง่ายดายเลย แต่ทว่าบนเส้นทางระหว่างเอเชียกลางและจีนเส้นนี้ อาจจะมีกิจการเกี่ยวกับสิงโตอยู่ หนึ่งในนั้นคือการแสดงกายกรรม เพราะคนเลี้ยงสิงโตที่เดินทางมาจากเอเชียกลางมีความจำเป็นจะต้องใช้เงินจำนวนมากในการเลี้ยงดูสิงโต ดังนั้นการแสดงจึงเป็นหนึ่งในทางเลือกที่เหมาะสม โดยการแสดงสิงโต ซึ่งทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของการเชิดสิงโต
ชาวตะวันตกแสดงกายกรรมกับสิงโตจริงๆ ที่มีชีวิต การแสดงนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ผู้คน แต่คราวใดที่ไม่มีสิงโต พวกเขาจะใช้หัวแกะสลักใบหน้าสิงโตสวมลงไป และใช้ผ้าห่มตัวแทนหนังสิงโต ใช้นักแสดงหนึ่งหรือสองคนสำหรับการแสดงเลียนแบบท่าทางของสิงโต และใช้นักแสดงอีกคนหนึ่งที่ตบแต่งหน้าตาแทนคนคุมสิงโต จากนั้นยังมีเครื่องเป่าเครื่องตีสำหรับใช้ในการแสดง และมีการกำหนดท่าทางการแสดงเป็นแบบแผน

การแสดงเชิดสิงโตในประเทศจีนทุกวันนี้ล้วนมีต้นแบบมาจากการแสดงของชาวตะวันตก สุสานแห่งหนึ่ง สมัยราชวงศ์ถัง ที่เมืองถูหลู่ฟาน (吐鲁番 tǔ lǔ fān)ในเขตปกครองตนเองซินเจียง ได้ค้นพบรูปปั้นการเชิดสิงโต นอกจากนี้ในบันทึก “ซีเหลียงจี้ (西凉伎)” ของไป๋จูอวี้ กวีสมัยราชวงศ์ถัง และ “ไท่ผิงเล่อ(太平乐” ของราชสำนัก ยังได้กล่าวถึง “การเชิดสิงโตห้าทิศ (五方狮子舞)” เอาไว้
ใน “ซีเหลียงจี้” บันทึกว่า นักแสดงเชิดสิงโตจะต้องสวมหน้ากากชนเผ่า (หรือกลุ่มชนเร่ร่อน) นอกจากนั้น “เชิดสิงโตห้าทิศ” ยังเป็นการแสดงในราชสำนักชิวฉือ (龟兹 qiū cí)(ชื่อปัจจุบันคือ 库车 kùchē ตั้งอยู่ในเขตปกครองตนเองซินเจียง) ดังนั้น แม้กำเนิดของการแสดงสิงโตจะมาจากทางตะวันตก แต่กลับมาผลิบานที่จีน จากนั้นยังเป็นที่นิยมไปถึงเฉาเสี่ยน (朝鲜 cháo xiǎn)และญี่ปุ่นอีกด้วย

สมัยราชวงศ์ถัง เอเชียกลางพ่ายแพ้ให้แก่อาหรับ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมอิสลาม หลังจาก Sultan Satuq Bughra Khan เปลี่ยนศาสนา และผลักดันศาสนาอิสลามให้เป็นศาสนาหลักแล้วจึงเริ่มต้นทำสงครามขยายดินแดนอีกครั้ง จนสุดท้ายก็ได้ควบรวมแคว้นอวี๋เถียน (于阗国 yú tián guó)ทางตอนใต้ของซินเจียงได้ และเป็นการเข้ามาครั้งแรกของศาสนาอิสลามในซินเจียงตอนใต้ (หรือหนานเจียง 南疆 nán jiāng)

ท้ายที่สุดชาวมองโกลก็ทำสงครามชนะเอเชียกลาง จากนั้นศาสนาอิสลามก็แผ่ขยายเข้ามา กระทั่งสมัยราชวงศ์หมิง จากเอเชียกลางถึงซินเจียง ศาสนาอิสลามได้กลายเป็นศาสนาหลักในพื้นที่แถบนั้นไปแล้ว ถึงแม้ว่าศาสนาอิสลามจะถูกมองว่าเป็นศาสนาแห่งสงคราม ที่ทำลายศาสนาเดิมในพื้นที่อย่างศาสนาพุทธ และศาสนาโซโรแอสเตอร์ (Zoroastrianism) แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นศาสนาที่ตั้งมั่นในเอเชียกลางอยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่ชาวอาหรับจะเข้ามาปกครองเอเชียกลาง คนท้องถิ่นเดิมมักจะเปลี่ยนศาสนาความเชื่ออยู่เสมอ เมื่อชาวอาหรับเข้ามาเผยแผ่ศาสนาอิสลาม นับถือศาสนาอิสลาม ก็รอจนกระทั่งชาวอาหรับจากไปแล้วจึงเปลี่ยนความเชื่อกลับมาเป็นความเชื่อดั้งเดิม ดังนั้นในช่วงเวลาอันยาวนาน วัฒนธรรมดั้งเดิมของเอเชียกลางไม่ได้สูญหายไปไหน รวมทั้งการแสดงสิงโตด้วย แม้กระทั่งในสมัยราชวงศ์หยวนและหมิงก็ยังมีชาวมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลาม เข้ามาแสดงการเชิดสิงโตในดินแดนจีน
จนกระทั่งทุกวันนี้ ที่ซินเจียงก็ยังอนุรักษ์การแสดงสิงโตอยู่ ขณะเดียวกันที่เหอหนานก็มีการเชิดสิงโตของชาวหุย (回族 huí zú)ซึ่งล้วนแต่มีความเหมือนกับ “เชิดสิงโตห้าทิศ” ในบันทึก ตรงการใช้ผ้าแทนหนังสิงโตเหมือนกัน นอกจากนั้น ศิลปะการเชิดสิงโตยังค่อยๆถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นศิลปะของชาวฮั่น จนกระทั่งพัฒนาเป็นการเชิดสิงโตของจีนตอนเหนือและจีนตอนใต้ แล้วในที่สุดก็กลายเป็นศิลปะการแสดงของจีนที่คนทั้งโลกคุ้นเคย



ที่มา: weibo @天白高国尼卒广播台
