งานวิจัยใหม่เผย เคานต์แดรกคิวลาร้องไห้น้ำตาเป็นเลือดจริง!

Count Dracula ตัวละครที่ทั้งโลกรู้จักว่าเป็นภาพจำของผีดูดเลือด (Vampire) อ้างอิงมาจาก “วลาดจอมเสียบ” บุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีความโหดเหี้ยม เจ้ากระหายเลือดและหลั่งน้ำตาเป็นโลหิต กลายเป็นว่านั่นอาจเป็นข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้จากวิทยาศาสตร์

ก่อนจะมาเป็นตัวละครเอกในนิยายของแบรม สโตคเกอร์เรื่อง Dracula ชายคนนี้เป็นที่รู้จักในฐานะวลาดจอมเสียบ (Vlad the Impaler) หรือวลาดที่ 3 (Vlad III) เป็นเจ้าปกครองแห่งวาลาเคีย (Voivode of Wallachia) ตำแหน่งใกล้เคียงกับ Prince ในการปกครองระบอบฟิวดัลของยุโรป โดยเป็นบุตรชายคนรองของวลาดที่ 2 ดรากูล (Vlad II Dracul) ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในฐานะ “ดรากูลา” (Dracula) ที่หมายถึง “บุตรแห่งดรากูล” เช่นเดียวกับราดู (Radu) น้องชายของเขา

วลาดที่สองบิดาของวลาดจอมเสียบเป็นเจ้าที่อยู่ในสมาพันธ์มังกร (Order of the Dragon) กลุ่มพันธมิตรขุนศึกชาวคริสต์ที่ร่วมกันต่อต้านจักรวรรดิออตโตมันในยุคกลาง ก่อนที่วาลาเคียจะตกอยู่ในอำนาจของชาวมุสลิมที่ขยายตัวมายังยุโรปตะวันออก พี่ชายคนโตถูกสังหารในการรบ ส่งผลให้วลาดที่ 3 และน้องชายต้องไปอยู่ในราชสำนักออตโตมันด้วยฐานะตัวประกันตั้งแต่ยังเด็ก

Vlad Ţepeş, the Impaler, Prince of Wallachia(c. 1560)
โฆษณา

ในวัยผู้ใหญ่วลาดที่ 3 ได้พลิกสถานะจากตัวประกันและทวงคืนตำแหน่งเจ้าแห่งวาลาเคีย ขจัดขุนนางในสภาที่ขัดแข้งขัดขาด้วยวิธีการที่ทำให้เขาเป็นที่กล่าวขวัญทั่วโลก นั่นคือการจับคนเหล่านั้นเสียบบนไม้หลักแหลมจนถึงแก่ความตาย ว่ากันว่าวลาดได้สั่งประหารคนด้วยการเสียบมามากถึง 40,000 – 100,000 คน และเหยื่อเหล่านั้นไม่ใช่แค่ข้าศึกอิสลามเท่านั้น แต่รวมถึงบุคคลที่พระองค์มองว่าเป็นตัวถ่วงความเจริญของชาติ อย่างอาชญากร คนเกียจคร้าน ผู้พิการ

จากคำบอกเล่าในเอกสารทางประวัติศาสตร์บางชิ้นถึงกับกล่าวว่าวลาดที่ 3 นั้นดื่มเลือดของคนเหล่านั้น ไปจนถึงการกล่าวถึงดวงตาสีเขียวเบิกโพลงที่ร่ำไห้โดยมีน้ำตาเป็นเลือด เป็นภาพจำที่ดูสะเทือนขวัญมากทีเดียว

ดูเหมือนว่าภาพจำที่ถูกบรรยายไว้อาจมีเค้าโครงมาจากข้อเท็จจริง โดยเฉพาะเรื่องของการร้องไห้เป็นเลือด เนื่องมาจากการศึกษาเรื่องโปรตีนโบราณที่เก็บได้จากตัวอย่างเอกสารที่วลาดที่ 3 เป็นผู้เขียนไว้และยังถูกเก็บรักษาจนเหลือรอดมาถึงปัจจุบัน

งานวิจัยนี้ดำเนินการโดยทีมจากมหาวิทยาลัยคาตาเนีย ( University of Catania) ทำการใช้เทคนิค EVA (ethylene-vinyl acetate) ในการเก็บตัวอย่างจากจดหมายโบราณที่ลงชื่อเอาไว้ว่าเป็นลายมือชื่อของวลาดเองในช่วงกลางยุคคริสต์ศตวรรษที่ 15 และนำไปจำแนกด้วยกระบวนการที่เรียกว่าแมสสเปกโตรเมทรีความละเอียดสูง (High-resolution mass spectrometry หรือ HRMS)


เทคนิคทางเคมีวิเคราะห์ประสิทธิภาพสูง สามารถใช้หาน้ำหนักโมเลกุลของสารตัวอย่างที่เป็นไอออนในสภาวะแก๊สที่ต้องการวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง และสามารถศึกษาโครงสร้างทางเคมีของสารได้ รวมถึงการนำไปวิเคราะห์ในเชิงปริมาณด้วย
(อ่านต่อ : scispec.co.th)

หลักการทำงานโดยทั่วไป
Photo : priyamstudycentre.com
โฆษณา

วิธีการนี้สามารถระบุลักษณะของเปปไทด์ (Peptides) โบราณ 100 ชนิด และข้อมูลโปรตีนที่เกิดจากร่างกายของมนุษย์ที่บ่งชี้ว่า Vlad III ได้รับความทุกข์ทรมานจากการติดเชื้ออักเสบในระบบทางเดินหายใจหรือไม่ก็ผิวหนัง และยังพบว่าภาวะที่เรียกว่า”Hemolacria”

ฮีโมลาเครีย (Hemolacria) เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับบริเวณต่อมน้ำตา ทำให้เลือดเกิดรั่วไหลมาเจือปนอยู่กับน้ำตาจนทำให้ผู้ป่วยนั้นหลั่งน้ำตาออกมาเป็นเลือด อาการฮีโมลาเครียนี้อาจเกิดขึ้นได้ยากแต่ก็มีการพบได้ในหลายแห่งทั่วโลก สาเหตุของฮีโมลาเครียดอาจจำแนกได้เป็น 5 ประการคือ

  1. การติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย, ไวรัส หรือจุลินทรีย์ขนาดเล็ก (microorganism) บริเวณดวงตาหรือเยื่อบุตาอักเสบ ส่งผลให้เลือดเจือปนมาในน้ำตา
  2. การบาดเจ็บในดวงตาหรือบริเวณโดยรอบซึ่งอาจเกิดจากอุบัติเหตุหรือการผ่าตัด ทำให้หลอดเลือดบริเวณนั้นแตกจนเกิดการเจอปนมาในน้ำตา
  3. เนื้องอกบริเวณรอบๆ ดวงตา ต่อมน้ำตา (tear glands) และถุงน้ำตา (lacrimal sac) เพราะเนื้องอกนั้นอาจเจริญไปบีบเค้นหรือทำลายเนื้อเยื่อรอบๆ รวมถึงเส้นเลือดแตก ทำให้เกิดอาการฮีโมลาเครียตามมา
  4. ความผิดปกติของเลือด (Hematological disorders) โรคเลือดอย่างฮีโมฟีเลีย (hemophilia) หรือการจับตัวผิดปกติของเลือดสามารถทำให้เกิดภาวะเลือดไหลรวมถึงน้ำตาเป็นเลือดได้
  5. ไม่สามารถระบุสาเหตุได้(idiopathic hemolacria) กรณีนี้เป็นกลุ่มที่เกิดอาการโดยไม่สามารถสืบที่มาของโรคได้ แต่ปรากฏอาการของฮีโมลาเครีย

อาการของฮีโมลาเครียนั้นส่งผลต่อทัศนวิสัยการมองเห็น ทำให้เกิดความอ่อนไหวต่อแสง ต้านทานแสงได้น้อย อาจมีการบวมเนื่องมาจากการอักเสบ ดวงตาของผู้ป่วยย่อมจะดูน่ากลัวมากกว่าคนปกติ การที่วลาดที่ 3 มีอาการฮีโมลาเครียก็สอดคลล้องกับเอกสารบางฉบับที่กล่าวว่าเขานั้นมีน้ำตาเป็นเลือด

จากการศึกษานี้แม้จะมีช่องโหว่และความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้นเพราะตัวอย่างจดหมายอาจปนเปื้อนการสัมผัสของบุคคลอื่นในยุคกลางจนทิ้งร่องรอยโปรตีนไว้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในบรรดาตัวอย่างเปปไทด์หรือโปรตีนโบราณที่เก็บได้ย่อมมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัววลาดที่ 3 ผู้เป็นคนเขียนและเซ็นชื่อในต้นฉบับนี้ด้วยตนเองไม่มากก็น้อย

โฆษณา

Featured Image : Carolina Fear Fest

References :