ไขปริศนากระโหลก “เอเลี่ยน” แห่งเปรู

ประเทศเปรูอาจเป็นประเทศที่ชาวโลกรู้จักจากอารยธรรมอินคาและลายเส้นนาซคา งานศิลปะที่ต้องมองมุมสูงจากท้องฟ้า ราวกับว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ต้องการสื่อสารกับคนบนฟ้า เช่น สิ่งมีชีวิตนอกโลก มันคงไม่แปลกถ้าจะมีสิ่งที่คนเรียกว่า “กะโหลกเอเลี่ยน” ถูกค้นพบที่นี่

ปาราคัส (Paracas) เป็นคาบสมุทรทะเลทรายทางชายฝั่งด้านทิศใต้ของประเทศเปรู แหล่งโบราณคดีดังกล่าวอยู่ในเขตปิสโค (Pisco) มีอายุสมัยเก่าแก่ที่สุดถึง 3,000 ปีมาแล้ว และยังจัดว่าเป็นแหล่งวัฒนธรรมที่พบกะโหลกมนุษย์ที่มีลักษณะยาวกว่าปกติ (Elongated skulls) มากที่สุดในโลก ทำให้ผู้คนรู้จักและเรียกชื่อกะโหลกแบบนี้ว่า “กะโหลกปาราคัส” (Paracas skulls)

กะโหลกยาวที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นไอคา ( Ica) ประเทศเปรู
Credit : Marcin Tlustochowicz

วัฒนธรรมปาราคัสถูกค้นพบโดยนักโบราณคดีชาวเปรูนามว่าจูลิโอ เทลโล (Julio Tello) เมื่อปีค.ศ.1928 ยังมีการศึกษาและขุดค้นพบสุสานที่มีกะโหลกลักษณะนี้ต่อมาเรื่อยๆ ปัจจุบันสันนิษฐานว่ามีพบมากกว่า 300 ชิ้น และชิ้นที่เก่ามากสุดอาจมีอายุประมาณ 3,000 ปีดังที่ได้กล่าวข้างต้น

มัมมี่ในท่าตัวอ่อนจากวัฒนธรรมปาราคัส © orlando hernandez

การปรับรูปทรงของกะโหลกศีรษะคนโบราณพบได้หลายแห่งในโลก ซึ่งกะโหลกยาวก็ถือเป็นประเภทที่นิยมปฏิบัติกันมาก สันนิษฐานว่าการทำกะโหลกให้ยาวนี้อาจทำได้ด้วยการรัดศีรษะหรือการใช้แผ่นไม้ประกบด้านข้างและรัดให้แน่นด้วยผ้า การรัดกะโหลกแม้ว่าจะส่งผลต่อรูปทรงของกะโหลกแต่ไม่ได้ปรับเปลี่ยนองค์ประกอบต่างๆ ของกะโหลก

เทียบระหว่าง ซ้าย: กะโหลกมนุษย์ธรรมดา ขวา : กะโหลกปาราคัส
Credit : Brien Foerster via hiddenincatour

วิธีการเช่นนี้จำเป็นต้องเริ่มทำตั้งแต่ยังเป็นทารกเพื่อที่การเจริญเติบโตของกะโหลกจะยังสามารถพัฒนาไปตามการรัดได้ โดยอาจเริ่มตั้งแต่ทารกอายุราว 1 เดือนหลังคลอด และใช้เวลามัดต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือนหรืออาจนานกว่านั้น แต่การค้นพบทารกที่เพิ่งคลอดมีรูปทรงของกะโหลกที่ยาวก็ทำให้เกิดคำถามมากมายว่าหรือจริงๆ กะโหลกของชาวปาราคัสอาจจะมีทรงนี้โดยธรรมชาติ ไม่ใช่เกิดจากการพยายามรัดแบบวัฒนธรรมอื่นๆ

Lithograph by D. Leopoldo Mueller from the Spanish 1851 Edition of Peruvian Antiquities

แนวคิด “เอเลี่ยน” เกิดขึ้นเพราะกระดูก?

กระโหลกยาวแห่งปาราคัสเป็นที่พูดถึงในฐานะ “เอเลี่ยน” เพราะลักษณะของส่วนท้ายกะโหลกที่ยืดยาวจนดูคล้ายเอเลี่ยนที่เป็นมนุษย์ต่างดาวที่ปรากฏในสื่อกับภาพยนตร์ และนอกจากส่วนท้ายของกะโหลกแล้ว ลักษณะทางกายภาพอื่นๆ ก็มีความแตกต่างจากมนุษย์ปกติ อาทิบริเวณฟอราเมน แมกนัม (Foramen Magnum) ซึ่งคือรูขนาดใหญ่ที่เป็นช่วงต่อของกะโหลกกับกระดูกสันหลัง จุดนี้กะโหลกปาราคัสก็จะมีขนาดรูที่เล็กกว่าและค่อนไปทางด้านหลังเล็กน้อยเพื่อประคองกะโหลกที่ยาวกว่าปกติ

เปรียบเทียบ ฟอราเมน แมกนัม (Foramen Magnum) Credit : Jason Colavito
ซ้าย : กะโหลกมนุษย์ปกติ/ขวา : กะโหลกยาวปาราคัส

จุดสังเกตที่รูฐานกะโหลกนี้เป็นของ Rick Woodward นักมานุษยวิทยาที่เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกะโหลกปาราคัส ที่นอกจากจะชี้ว่าฟอราเมน แมกนัมนี้มักจะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนตำแหน่งไม่ได้ในแง่ของการพยายามปรับปรุงแก้ไขกะโหลกด้วยการใช้การรัดเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปร่างของกะโหลกศีรษะ จะต้องเป็นการถ่ายทอดกันผ่านพันธุกรรมเท่านั้น

โครงสร้างอื่นๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปอีกของกะโหลกก็แสดงออกผ่านกระดูกโหนกแก้ม (zygomatic arch/cheek bone) ทรงของกระดูกเบ้าตาและไม่มีรอยประสานกระดูกข้างขม่อม (sagittal suture) ที่เป็นรอยต่อคล้ายรอยเย็บบนกะโหลกมนุษย์

เส้นสีแดงในภาพคือรอยประสานกระดูกข้างขม่อม (sagittal suture) จะอยู่ค่อนไปทางด้านหลังของกะโหลก

DNA และพันธุกรรมเอเลี่ยน?

การตรวจตัวอย่าง DNA ที่อ้างว่าทำขึ้นในปี 2014 โดยได้ข้อมูลว่าดีเอ็นเอที่พบนั้น “มีไมโตรคอนเดรีย ดีเอ็นเอ* (mitochondrial DNA) ที่ไม่ตรงกับที่เคยพบในมนุษย์, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและสัตว์ชนิดอื่นๆ

นายฮวน นาวาโร (Juan Navarro) ผู้อำนวยการของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นชื่อว่าพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ปาราคัส (Paracas History Museum) ที่มีกะโหลกยาวจำนวน 35 ชิ้น ได้อนุญาตให้มีการเก็บตัวอย่างจากกะโหลกไป 5 ชิ้น โดยในแต่ละตัวอย่างประกอบด้วยเส้นผมที่มีราก, ฟัน, เศษผิวหนัง และผงกระดูกที่เก็บด้วยการเจาะบริเวณฟอราเมน แมกนัมซึ่งเป็นบริเวณที่จะส่งผลต่อความเสียหายของกะโหลกน้อยที่สุด

ทั้งหมดทำอย่างระมัดระวังด้วยการสวมใส่ชุดป้องกันและมีการบันทึกภาพวิดีโอและภาพนิ่งขณะเก็บตัวอย่างเอาไว้ด้วย หลังจากนั้นจึงนำตัวอย่างส่งให้นักพันธุศาสตร์ทำการศึกษาวิเคราะห์โดยไม่ได้ให้รายละเอียดถึงที่มาอย่างแน่ชัดเพียงแต่ระบุว่าเป็นตัวอย่างที่เก็บมาจากมัมมี่โบราณ เพื่อป้องกันการจำกัดกรอบแนวคิดในการศึกษา และได้เลือกส่งตัวอย่างไปยังห้องแล็บที่แคนาดา 1 แห่ง และอีก 2 แห่งในสหรัฐอเมริกา

ทำให้ผลที่ออกมาในระยะแรกนักพันธุศาสตร์ยังไม่พบความเชื่อมโยงของตัวอย่างจากปาราคัสว่าตรงกับดีเอ็นเอในสายวิวัฒนาการชาติพันธุ์ (Evolutionary tree/Phylogenetic tree) ที่มีอยู่ แต่หากดีเอ็นเอของชาวปาราคัสโบราณไม่ได้มีความเป็นเครือญาติกับมนุษย์ พวกเขาจะไม่สามารถสืบทอดสายพันธุ์กันกับมนุษย์ชนิดอื่นได้

Morton Collection, Skull #1681, University of Pennsylvania Museum of Archaeology and Anthropology, the Open Research Scan Archive at Penn, and Janet Monge and P. Thomas Schoenemann

ช้าก่อน! ท่านผู้รักเอเลี่ยน ยังมีข้อเท็จจริงรออยู่ตรงนี้

กะโหลกปาราคัสที่มีเส้นผมสีแดง Credit: Brien Foerster

ในความตื่นตัวที่ทีมนักวิจัยพยายามอย่างมากที่จะนำเสนอว่ากะโหลกยาวปาราคัสเป็นสิ่งที่เกิดจากพันธุกรรมมากกว่าการพยายามดัดแปลงมันในระยะที่กระดูกกำลังเติบโต ก็มีข้อโต้แย้งมากมายที่ฝ่ายเชื่อต้องตอบให้ได้ อย่างแรกคือการเปลี่ยนแปลงของกระดูก เรื่องของฟอราเมน แมกนัมนั้นก็เคยมีรายงานศึกษาวิจัยว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ทั้งจากการรัดและจากการบูรณะรักษากระดูกของเทคโนโลยีอนุรักษ์ของคนรุ่นหลัง และรอยประสานกระดูกข้างขม่อมก็สามารถแนบสนิทและหายไปได้ในกรณีของวัฒนธรรมที่นิยมรัดกะโหลกเช่นกัน

โดยนักมานุษยวิทยาและนักโบราณคดีที่ศึกษาประเพณีการทำกะโหลกยาวในยุโรปเคยศึกษาไว้หลายปี และเส้นรอยประสานกระดูกข้างขม่อมก็ถูกทำให้หายได้เนื่องจากการกดบีบด้านข้างกะโหลกเป็นเวลานาน จะส่งผลต่อรอยประสานตามแนวนั้นจนทำให้เกิดการแนบสนิทเร็วกว่าปรากฏการณ์ปกติที่กะโหลกมนุษย์เป็น (ต้องอายุมากรอยประสานนี้จะยิ่งแนบเนียนและหายไป)

ทั้งผลการศึกษาเพิ่มเติมก็อาจจะทำให้คนที่คิดถึงเอเลี่ยนในฐานะมนุษย์ต่างดาวอาจจะผิดหวังนิดหน่อย เมื่อการตรวจจากกะโหลกที่มีอายุราว 2000 ปีพบว่าชาวปาราคัสมีจุดกำเนิดจากยุโรปและตะวันออกกลาง

หลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่ากะโหลกของชาวปาราคัสมีเชื้อสายจากชาวยุโรปคือตัวอย่างเส้นผมที่เก็บไป โดยสามารถนำดีเอ็นเอมาเทียบเคียงลำดับพันธุกรรมได้ 3 ตัวอย่าง ผลปรากฏว่ามีกลุ่มพันธุกรรมเครือญาติที่มี Haplogroup อยู่ในกลุ่ม H2A ซึ่งเป็นยีนที่มักพบในยุโรปตะวันออก แต่พบน้อยในยุโรปตะวันตก

Marzulli หนึ่งในทีมนักวิจัยชี้บริเวณฟอราเมน แมกนัมที่มีการเจาะตัวอย่างผงกระดูก

ส่วนตัวอย่างผงกระดูกที่เก็บได้นั้น ผลออกมาไปในทางว่าชาวปาราคัสมีดีเอ็นเอกลุ่ม T2B ที่มีจุดกำเนิดอยู่ในแถบตะวันออกกลาง อาทิในบริเวณที่เกิดอารยธรรมเมโสโปเตเมียหรือพื้นที่แถวซีเรียในปัจจุบัน ผลการตรวจนี้ค่อนข้างจะไปในทิศทางเดียวกับการที่มัมมี่ของปาราคัสที่พบเส้นผมสีแดงซึ่งเป็นลักษณะทางพันธุกรรมของชาวตะวันออกกลางและยุโรป แต่ไม่ใช่กลุ่มของชนพื้นเมืองทางอเมริกาใต้

เรื่องสีผมเองก็เป็นสิ่งที่นักวิชาการยังหาคำตอบไม่ได้ชัดเจนว่ามัมมี่ของปาราคัสที่บางร่างมีผมสีแดงหรือทองเกิดจากอะไรกันแน่ ข้อสันนิษฐานเดิมคือเป็นการฟอกสีผมหรืออาจเป็นเพราะกระบวนการในการทำศพบางอย่างที่ทำให้สีผมเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีที่อ่อนลง แต่นอกจากเม็ดสีผมที่เปลี่ยนแล้ว ลักษณะความหนาของเส้นผมยังมีความบางกว่าเส้นผมของชาวพื้นเมืองอีกประมาณ 30%

ผลการศึกษานี้แม้จะทำให้เกิดความตื่นตัวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์มนุษย์ในทวีปอเมริกา โดยเฉพาะเรื่องแนวคิดของช่วงเวลาการเดินทางของมนุษย์โบราณเข้ามาในทวีปอเมริกา แต่ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่เพราะนักมานุษยวิทยาบางคนก็ยังไม่ซื้อแนวคิดนี้ และแม้ว่าเราจะพยายามคิดนอกกรอบไปว่าเหตุผลที่ชาวปาราคัสมีลักษณะดีเอ็นเอที่แปลก แถมยังมีเสี้ยวของรหัสพันธุกรรมที่ไม่สามารถระบุได้ อาจเป็นเพราะพวกเขาเป็นเอเลี่ยนจริงๆ

แต่ในฐานข้อมูลเรื่องพันธุศาสตร์ก็ยังต้องอาศัยการศึกษาและเก็บตัวอย่างตลอดเวลา ซึ่งการที่บางแล็บบางพื้นที่อาจยังมีตัวอย่างไม่มากพอ ทำให้อาจต้องมีการพยายามเก็บตัวอย่างและส่งตรวจเพิ่มในห้องแล็บที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจึงจะสามารถเทคะแนนไปโน้มน้าวนักมานุษยวิทยาว่านี่อาจเป็นการค้นพบสายพันธุ์ย่อยของมนุษย์อีกสายพันธุ์หนึ่ง


*mitochondrial DNA คือดีเอ็นเอหรือรหัสพันธุกรรมที่ได้รับผ่านทางมารดา

References:

ใส่ความเห็น

Please log in using one of these methods to post your comment:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.