หนังเรื่องนี้อาจเป็นป้ายบอกทางถึงปัญหาเชิงโครงสร้างบางอย่างของอิหร่านชนิดที่หลายคนอยากเบือนหน้าหนี บางคนที่กล้าก็ตราหน้าผู้กำกับว่า “เป็นผู้ดำเนินรอยตามโองการปีศาจ” นิยายที่กลายเป็นคำสั่งตายให้ทุกคนที่กล้าตั้งคำถามอาจต้องกลายเป็นศพ เมื่อการฆ่าโสเภณีคือ “ญิฮาด” เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนา
เป็นการท้าทายมากสำหรับการรีวิวภาพยนตร์เทศกาลหนังเมืองคานส์เรื่องนี้ คงเพราะความไม่สันทัดในวัฒนธรรมมุสลิมประการหนึ่ง กับการต้องอธิบายประเด็นทางด้านสังคมที่พัวพันกันเป็นใยแมงมุมยุ่งเหยิงนี้ก็ยากจะสาธยายได้อย่างครบครัน ดังนั้นจึงจะขอพาทุกคนค่อยๆ สำรวจกันไปทีละเรื่องผ่านคีย์เวิร์ด “คุณ/คร่า/ศรัทธา” เพราะเป็นคำ 3 คำที่มีความหมายกับเรื่องราวอย่างมีนัยยะสำคัญ
“อุปมาบรรดาผู้ที่ยึดเอาอื่นจากอัลลอฮฺเป็นผู้คุ้มครอง
ซูเราะฮฺอัลอังกะบูต อายะฮฺที่ 41
อุปไมยดั่งแมงมุมที่ชักใยทำรัง
และแท้จริงรังที่บอบบางที่สุดก็คือรังของแมงมุม”
Holy Spider เป็นภาพยนตร์อิหร่านที่เข้าฉายในเทศกาลหนังเมืองคานส์ เนื้อเรื่องเล่าถึงคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นต่อเนื่องที่เมืองมัชฮัด (Mashhad: مشهد) ฆาตกรปริศนารายหนึ่งล่อลวงหญิงโสเภณีมาฆ่าและนำศพไปทิ้ง และยังประกาศศักดาว่านี่คือการช่วยกวาดล้างความโสมมให้หมดไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์
เค้าโครงเรื่องทั้งหมดได้รับแรงบันดาลใจจากคดีที่เกิดขึ้นจริงในเมืองมัชฮัดช่วงปีค.ศ.2000-2001 นายซาอีด ฮานาอี (Saeed Hanaei) คนงานก่อสร้างที่ได้ออกล่าหาสาวโสเภณีตามข้างถนนเพื่อลวงมาฆ่า โดยมีเอกลักษณ์ในการฆาตกรรมคือการใช้ผ้าคลุมผมของพวกเธอเหล่านั้นมามัดคอจนเหยื่อขาดใจตาย ก่อนจะหุ้มร่างพวกเธอด้วยผ้าคลุมแชโดร์แล้วนำศพไปทิ้งในที่สุด ลักษณะของเทคนิคการล่อลวงเหยื่อทำให้สื่อตั้งฉายาให้เขาว่า “นักฆ่าแมงมุม” (Spider Killer)
เรื่องราวในภาพยนตร์เล่าสลับระหว่างเรื่องของซาอีดกับราฮิมี นักข่าวสาวที่สนใจอยากติดตามและนำเสนอข่าวฆาตกรต่อเนื่องแห่งเมืองมัชฮัด จึงได้เดินทางมายังเมืองแห่งนี้และเริ่มสืบค้นเรื่องราวต่างๆ นำพามาซึ่งการค้นพบมหกรรมแห่งความละเลยเพิกเฉยไปจนถึงการกดขี่ เพราะแม้แต่รัฐกับตำรวจก็ยังมีความเห็นว่านักฆ่าแมงมุมกำลังทำความดีด้วยการ “กวาดถนนศักดิ์สิทธิ์ให้สะอาด”
ซาอีดเคยเป็นทหารผ่านศึกของอิหร่านในสงครามอิรัก-อิหร่านช่วงปีค.ศ.1980-1988 เมื่อสงครามสิ้นสุดลงพร้อมทิ้งบาดแผลบางอย่างในใจ ซาอีดจึงค่อยๆ พัฒนามาสู่ความอยากพลีชีพเพื่ออุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ กระหายในโอกาสที่ตอนสงครามไม่ได้รับ ร่วมกับปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นผลสืบเนื่องจากปัญหาสงคราม ทำให้สภาพเมืองดูเลวทรามและเต็มไปด้วยหญิงค้าบริการ ผู้หย่อนย่านทางด้านศีลธรรมและชักนำเหล่าผู้ชายไปในทางของบาป การต้องทนกับความขัดแย้งทางด้านศีลธรรมทำให้ซาอีดอยากกระทำญิฮาด (Jihad) ในแบบที่เขาเข้าใจไปเอง นั่นคือตามไล่กำจัดหญิงไม่ดีเหล่านั้นไปให้หมด

มัชฮัด เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งอะลี อัรริฎอ (Ali al-Rida : عَلِيّ ٱلرِّضَا) อิมามคนที่ 8 จากบรรดาอิมามทั้ง 12 ของอิสลามนิกายชีอะฮ์ และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศอิหร่าน สำหรับคนที่มีศรัทธาอย่างเข้มงวดแล้วการทนมองเห็นความผิดตำตาอยู่ทุกวี่วันโดยไม่มีใครคิดจะทำอะไรสักอย่าง ก็คงสร้างความระคายเคืองความรู้สึกคนที่เคร่งศาสนาได้ไม่มากก็น้อย
การเปลี่ยนแปลงทางด้านแนวคิดและความเชื่อที่นำไปสู่การวางตัวของผู้หญิงถูกสะท้อนผ่านราฮิมี นักข่าวสาวที่มีความเป็นหญิงสมัยใหม่ ภาพลักษณ์ที่ดูขัดแย้งไปจากภาพหญิงดีในคำสอนอันสะท้อนผ่านฟาติมา ภรรยาของซาอีด ท้งสองคนดูมีความแตกต่างกันอย่างคนละขั้ว สิ่งที่มีเหมือนกันคือพวกเธอเป็นเหยื่อของระบอบชายเป็นใหญ่ ที่คนหนึ่งกำลังต่อสู้ต่อความไม่ยุติธรรม แต่อีกคนศิโรราบ แม้จะอยู่กันคนละเส้นเรื่อง ราฮีมก็เหมือนเป็นชายที่อยู่ตรงกลางระหว่างความสุดโต่งที่เขาพบเห็นทุกวันทว่าไม่มีคนพยายามทำอะไรกับมันเลย และเขาอยากให้ผู้หญิงทุกคนในเมืองมีภาพแบบฟาติมา ไม่ใช่แบบเหลวแหลกหรือค่อนไปทางรักอิสระแบบราฮิมี
เมื่อปัญหาของ “คุณ” มันมากเกินไป
การต้องเผชิญกับแรงกดดันทางด้านสังคมทำให้ซาอีดเริ่มรู้สึกรับมือกับความรู้สึกด้านลบลำบาก น่าเสียดายที่ตัวหนังไม่ได้ให้เวลากับการเล่าพื้นหลังของเขามากนัก และเน้นไปที่การให้พื้นที่ของครอบครัวกับผู้สนับสนุน เราจะได้เห็นคนรอบตัวที่คอยสนับสนุนและแบ่งเบา แต่ซาอีดเลือกจะเป็นผู้แบกแต่เพียงผู้เดียว สัญญาณระยะเริ่มน่ากังวลของผู้มีความเครียดหรือปัญหาสุขภาพจิต

บางครั้งศาสนาที่ศาสนิกใช้เวลากับความคิดตนเอง พูดคุยและปรับทุกข์กับพระเจ้าเพียงลำพังขณะที่สุขภาพจิตไม่คงที่ เขาจึงได้คำตอบจากเสียงในใจไปในทางด้านลบ หนำซ้ำบทบาทของการเป็นหัวหน้าครอบครัวก็กดทับไม่ให้เขาส่งเสียงพูดระบายออกไปอย่างที่รู้สึกได้ แม้ว่าจะมีคนที่พร้อมรับฟังอยู่ก็ตาม
การระเบิดออกของเขามีชนวนมาจากการตีค่าของผู้ชายคนหนึ่ง คนขับแท็กซี่ที่ดันคิดว่าภรรยาของเขานั้นเป็นโสเภณีข้างถนน นั่นคือจุดระเบิดที่ทำให้ซาอีดรู้สึกว่าเมืองนี้ต้องถูกชำระ
คร่าชีวิตคือคำตอบ?
แท้จริงแล้วปัญหาโสเภณีและการดูแลความเรียบร้อยของบ้านเมืองควรเป็นงานของตำรวจ แต่มัชฮัดก็ยังเต็มไปด้วยความเสื่อมโทรม สลัม โสเภณีกับยาเสพติดเป็นสิ่งที่พบได้ง่ายโดยทั่วไป สารเสพติดที่นิยมกันมากคือฝิ่นซึ่งนำเข้าจากประเทศใกล้เคียงอย่างอัฟกานิสถานพร้อมกับการหลั่งไหลเข้ามาแสวงบุญของมุสลิมที่เดินทางมาสักการะมัสยิดอิมามเรซาอย่างต่อเนื่อง นำพาทั้งความเชื่อและความพินาศมากองรวมกัน เส้นทางยาเสพติดมาบรรจบที่เมืองนี้ในขณะที่อัตราการว่างงานสูงขึ้น สภาพสังคมของเมืองจึงดูไม่แตกต่างไปจากมหานครแออัดหลายแห่งในโลกที่มีทั้งความเจริญและแหล่งเสื่อมโทรม โสเภณีมีมากจนล้นไปถึงถนนหน้ามัสยิด
การฆาตกรรมโสเภณีและนำศพไปทิ้งในที่สาธารณะเหมือนการกระชากให้สายตาทุกคนกลับมามองมัชฮัตในมุมที่ถูกละเลย เป็นความจริงที่น่าเศร้า แต่การกระทำของซาอีดก็เหมือนการพยายามแก้ไขปัญหาทางสังคมด้วยจิตใจป่วยๆ ของเขา เกลียดที่จะต้องยอมรับเหลือเกินว่าหากเขาคาดหวังแบบนี้ถือว่าเค้าทำสำเร็จ มีหลายกลุ่มเริ่มจับตามองปัญหาภายในอิหร่านอย่างตั้งใจ
ศรัทธาของแมงมุมกัุบบ้านที่อ่อนแอ
หากเราจะเอาอุปมาเนื้อความในอัลกุรอ่านมาอธิบายความอ่อนแอทั้งภายในใจของตัวซาอีดกับภายนอกคือความทรุดโทรมของมัชฮัตก็คงพอให้เห็นภาพได้บ้าง คำอุปมาเรื่องแมงมุมนั้นส่งเสริมศรัทธาอันเข้มแข็งในตัวพระเจ้า เมื่อศรัทธานั้นคลอนแคลนก็เหมือนแมงมุมที่ชักใยเอาไว้ทั่วแต่ไม่จีรังยั่งยืนและรอการล่มสลาย
สิ่งที่มัชฮัตเผชิญก็คือการถูกบ่อนทำลายด้วยอาชญากรรม การค้าประเวณี ยาเสพติด การเพิกเฉยและคอรัปชั่นของเจ้าหน้าที่ และที่มากไปกว่านั้นคือกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เข้มแข็ง
ศาลและองค์กรศาสนามีแนวโน้มที่จะเอนเอียงเข้าข้างความคิดสุดโต่งของสังคมชายเป็นใหญ่ การค้าประเวณีเป็นกิจกรรมที่เกิดจากความพึงพอใจทางเพศของผู้ชายด้วยแต่กลับเป็นผู้หญิงที่รับกรรม การที่ซาอีดเลือกเหยื่อที่เป็นหญิงมากกว่าจะพุ่งไปจัดการลูกค้าที่มีแนวโน้มจะต่อสู้ได้ก็สะท้อนความอับจนของเขาเองที่ไม่สามารถสู้กับคนแข็งแกร่งกว่า หนำซ้ำยังไม่มีใครจะลุกขึ้นต่อกรและเรียกร้องให้กับศพของลูกสาวที่น่าอับอายและไร้ค่า
มากไปกว่านั้นแม้ปัญหาจะอยู่ตรงหน้า แต่กรอบประเพณีทำให้พวกเขาหลายคนปฏิเสธความจริงเหล่านี้ ศีลธรรมอันดีงามของชาวมุสลิมทำให้ทุกคนเลือกจะพูดว่าประเทศพวกเขาเป็นรัฐอิสลาม จึงไม่มีทั้งโสเภณีทั้งยาเสพติด การเพิกเฉยต่ออาชญากรรมต่อคนชายขอบของสังคมเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งแรกในอิหร่านหรือแค่มัชฮัต ยังมีคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่กระทำความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กที่มีจำนวนเหยื่อมากกว่าคดีของซาอีด เช่น คดีของโมฮัมเหม็ด ไบเจห์ (Mohammed Bijeh) ที่ทำการข่มขืนและฆาตกรรมเหยื่อเด็กชายจำนวน 41 คน ระหว่างปีค.ศ.2002-2004 ระยะเวลาไล่เลี่ยกับคดีของซาอีด

นี่คือตัวอย่างของรังแมงมุมอันอ่อนแอที่ชื่อว่าประเทศอิหร่านและความป่วยไข้ที่ปรากฏก็สามารถส่งต่อไปยังคนอื่นๆ ในสังคมผ่านแนวคิดที่ตีตราหญิงหากินว่าเป็นสิ่งเลวทรามสมควรแก่การถูกกำจัดโดยไม่ต้องรอกฏหมาย ส่วนนักฆ่าก็กลายเป็นฆาตกรในนามของพระเจ้า และชาวบ้านตาสีตาสาก็ต้องมาเสี่ยงภัยเล่นบท “ตำรวจ” ที่ไม่มีตรา ปืน หรือเครื่องแบบในการจับคนร้ายเพื่อหยุดการกระจายของพิษภัยอันน่ากลัวในสังคม
ความน่ากลัวของเชื้อร้ายนี้ถูกแสดงออกผ่านคำให้สัมภาษณ์ของอาลี ลูกชายของซาอีดที่กล่าวชื่นชมว่าพ่อเค้าทำงานให้กับพระเจ้า ด้วยการสมอ้างว่าพระเจ้าได้สำแดงพระประสงค์แก่พ่อเขาด้วยการ “ดับความแห้งแล้งและประทานฝนเป็นเครื่องยืนยันเจตจำนง” คำกล่าวอ้างนี้ถูกถ่ายทอดผ่านฉากในคุกที่ซาอีดยื่นมือออกไปหาสายฝนนอกลูกกรงหน้าต่าง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์คือฝนนั้นพลันหายวับไปกับตา
ฉากนี้ทำให้อดคิดต่อไปไม่ได้ว่านี่คือการโต้กลับแนวคิดอาชญากรรมในนามของศีลธรรมที่ผู้กำกัุบอาลี อับบาซีตั้งใจสื่อถึงแนวคิดในทางตรงกันข้าม นั่นคือพระเจ้าไม่ได้ปรารถนาที่จะเห็นคนทำบาปเพื่อความชอบ การฆ่าคนนั้นเป็นบาปและคนทำบาปก็ต้องได้รับคำพิพากษา

ต่อจากการจับกุมซาอีดคือการพยายามดำเนินการเพื่อให้เขาถูกพิพากษา แม้ว่าคนส่วนหนึ่งจะบูชาเขาในฐานะนักรบพิทักษ์เมืองศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังส่งเสียงขู่ผ่านปากของเด็กน้อยอาลีว่าถึงจะสิ้นซาอีดไป ไม่ช้าก็จะมีคนทำแบบเดียวกันอีก ตราบใดที่ปัญหานี้มันยังอยู่ เป็นช่วงเวลาแห่งความอึดอัดและลุ้นระทึกเป็นอย่างมากว่าสุดท้ายแล้วระหว่างกฏหมายกับคำสมอ้างศาสนา ใครจะเป็นผู้ชนะ?
เพราะพูดความจริงจึงกลายเป็น “โองการปีศาจ”
น่าเสียดายเหลือเกินที่กว่าจะมาถึงเทศกาลหนังเมืองคานส์ในฝรั่งเศส หนังเรื่องนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการถ่ายทำในประเทศอิหร่าน ส่งผลให้ต้องไปใช้สถานที่จากในประเทศจอร์แดนแทน และยังเป็นที่วิพากษ์กันอย่างหนาหูในหลายประเด็น หนึ่งในนั้นคือการถูกประนามจากผู้ใหญ่ชาติเดียวกันว่าเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอิสลามนิกายชีอะฮ์ทั่วโลก และรัฐบาลฝรั่งเศสกับทีมผู้จัดงานเทศกาลฯ ควรแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งนี้

ซาร์ อามีร์ เอบราฮีมี (Zar Amir-Ebrahimi) ได้รับรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมประจำเวทีเมืองคานส์ (Cannes Film Festival) ประจำปี 2022 และนั่นเป็นเสมือนน้ำมันที่ราดไปบนกองไฟของปิตาธิปไตยหัวรุนแรงภายใต้ตำแหน่งกระทรวงวัฒนธรรมแห่งอิหร่าน ที่ถึงกับต้องรีบออกแถลงการณ์ทันทีหลังจากที่เอบราฮีมีได้รางวัล โดยได้กล่าวประนามถึงทีมผู้สร้างว่ากำลังเดินตามรอยทางของซัลมัน รัชดี (Salman Rushdie) นักเขียนผู้ถูกคำขู่ฆ่าอันโกรธเกรี้ยวของอดีตผู้นำประเทศอิหร่านจากการเขียนนิยายเรื่อง “โองการปีศาจ” (The Satanic Verses) เมื่อปีค.ศ. 1989
จากกรณีที่อ้างอิงถึงผลงานของซัลมัน รัชดี หนังสือของเขาเล่มนั้นถูกทางประมุข อะญาตุลลอฮ์ โคไมนี (Ayatollah Khomeini) อดีตผู้นำสูงสุดแห่งอิหร่านได้กระทำการประกาศฟัตวาหรือคำวินิจฉัยว่าหนังสือโองการปีศาจคืองานที่ดูหมิ่นศาสดาของอิสลามประหนึ่งเป็นการเผาพระคัมภีร์อัลกุรอ่านต่อหน้าคนทั้งโลก ส่งผลให้รัชดีต้องหลบซ่อนตัวเพื่อความปลอดภัยเป็นสิบปี และเมื่อกลับออกมาเผชิญโลกอีกครั้ง เขาก็ต้องมาจบชีวิตลงเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2022 ด้วยการถูกแทงในงานเสวนาที่นิวยอร์ค
และท่ามกลางความขัดแย้งภายในประเทศอิหร่านที่ตกอยู่ภายใต้ผู้นำเผด็จการ ผู้หญิงหลายคนประท้วงความไม่ชอบธรรมและกดขี่ของทางการกับตำรวจศีลธรรมอย่างต่อเนื่อง หนังเรื่อง Holy Spider ได้เปิดพื้นที่บางส่วนในการสื่อสารให้คนทั้งโลกได้เห็นรังแมงมุมที่ยับเยิน ซาร์ อามีร์ เอบราฮีมีได้กล่าวขณะรับรางวัลมีใจความว่า “แม้เวลานี้ฉันเองมีความปิติ แต่อีกครึ่งนั้นรู้สึกเศร้ากับประชาชนชาวอิหร่าน ใจของฉันนั้นยังคงอยู่กับผู้คนที่อะบาดัน” (Abadan)
นอกจากคำปราศรัยของเอบราฮีมีแล้ว ในตอนฉายรอบพรีเมียร์ของหนังเรื่องนี้ยังมีปรากฏการณ์สำคัญในการแสดงสัญลักษณ์เพื่อต่อต้านความรุนแรงต่อสตรีด้วยการครองพรมแดงพร้อมเปิดป้ายรายชื่อเหยื่อฆาตกรรมจากความเกลียดชังต่อผู้หญิง (Femicide) และใช้ควันสีดำรายล้อมความสูญเสียเหล่านั้นเอาไว้ ถือเป็นอีกช่วงเวลาที่ถูกขโมยไปอย่างคุ้มค่า
แม้จะไม่สามารถฉายในประุเทศบ้านเกิดได้ แต่หนังเรื่องนี้เข้าฉายในประเทศไทยในเรต ฉ 20+ โดยไม่ตัดฉากใดๆ ออก ต้องมีการตรวจบัตรประชาชนก่อนเข้ารับชม
เรื่องราวของ Holy Spider หรือชื่อไทย “ฆาตกรรมเภณีเมืองศักดิ์สิทธิ์” อาจจบลงไปพร้อมกับวินาทีสุดท้ายของภาพยนตร์ แต่สิ่งที่ยังดำเนินต่อไปอย่างยากจะสิ้นสุดคืออาชญากรรมต่อสตรี เด็ก และคนชายขอบของสังคม, ความเกลียดชังทางด้านสีผิว เชื้อชาติ ศาสนาจนถึงขั้นลงมือฆ่ากันได้อย่างเลือดเย็นในนามของผู้ประเสริฐกว่า เรื่องราวของซาอีดเป็นเพียงแค่ส่วนเสี้ยวของความเน่าเปื่อยที่ผู้หญิงอิหร่านยังต้องต่อสู้กันอยู่จนถึงตอนนี้ ตราบใดที่เรายังต้องเผชิญกับความอยุติธรรมที่ยากจะลบล้าง
ขอให้พระเจ้าสถิตย์อยู่กับคุณ ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อในพระเจ้าองค์ใดก็ตาม

References :
- De Luce,D.(August 18, 2003).The beast of Mashhad.The Guardian.Retrieved 6 October 2022, from https://www.theguardian.com/film/2003/aug/18/edinburghfilmfestival2003.iran
- Ghadarkhan,S.(May 23, 2022).Iran’s ‘Spider Killer’ is Re-Dramatised Two Decades After Original Documentary.IranWire.Retrieved 6 October 2022, from https://iranwire.com/en/society/104181-irans-infamous-spider-killer-is-re-dramatized-in-a-third-film/
- ‘On the Path of Salman Rushdie’: Iran’s Culture Ministry Threatens Makers of Holy Spider.(May 30, 2022).IranWire.Retrieved 6 October 2022, from https://iranwire.com/en/society/104401-on-the-path-of-salman-rushdie-irans-culture-ministry-threatens-makers-of-holy-spider/