ชีวิตอันโลดโผนจนน่าตกใจนี้ เป็นเรื่องราวในชีวิตของสตรีจีนในราชสำนักชิง ที่น้อยคนนักจะได้รับการศึกษาและเติบโตมาจนพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วจนเป็นนางสนองพระโอษฐ์ของจักรพรรดินีซูสีไทเฮาในฐานะล่ามส่วนพระองค์ รับใช้ใกล้ชิดตลอดระยะเวลา 2 ปี
เธอคนนี้มีนามว่า ยวี่เตอหลิง (裕德齡) เดิมเป็นธิดาของยวี่เคิงกับนาง Louisa Pearson สาวลูกครึ่งจีน-อเมริกันในเซี่ยงไฮ้ พ่อของเธอเคยเป็นรัฐมนตรีที่ญี่ปุ่น ก่อนจะย้ายไปอยู่ที่ฝรั่งเศส ยวี่เตอหลิงเติบโตที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ได้รับการศึกษาในแบบชาวตะวันตก เรียนทั้งการเต้นรำ ภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษ การพูดภาษาต่างประเทศจึงเป็นความสามารถพิเศษอันโดดเด่นยิ่งสำหรับหญิงในยุคนั้น โดยเฉพาะเมื่อมีโอกาสได้เข้าไปรับใช้จักรพรรดินีซูสีไทเฮาภายในพระราชวังต้องห้าม (กู้กง) ซึ่งในขณะนั้นโลกเข้าสู่หน้าประวัติศาสตร์ยุคใหม่แล้ว การติดต่อกับต่างประเทศเป็นเรื่องปกติ แม้ว่าจีนจะยังปกครองด้วยระบอบเดิมและใกล้ถึงสุดสิ้นสุดของราชวงศ์สุดท้ายในประวัติศาสตร์แดนมังกร
ตามกฎมณเฑียรบาลของราชวงศ์ชิงจะมีการคัดเลือกสตรีในตระกูลขุนนางชั้นสูงเพื่อเข้ามารับใช้ภายในวังต้องห้าม เรียกว่า “ส่วนซิ่วหนู” โดยบุตรีของตระกูลภายใต้ธงที่รับใช้ราชการแผ่นดิน ซึ่งจะแบ่งเป็นหมวดหมู่ จะต้องนำบุตรสาวเข้ารับการคัดเลือกและเมื่อสอบผ่านจะได้เข้าไปอยู่ภายในเขตพระราชฐานชั้นในภายใต้ระยะเวลาตามกำหนด ซึ่งจะมีการจัดแบ่งหน้าที่กันอีกครั้งภายหลัง ยวี่เตอหลิงเป็นหนึ่งในตระกูลธงขาวชาวฮั่นจึงต้องเข้าคัดเลือกตามระเบียบ ถึงจะมาจากสายชาติพันธุ์ฮั่น แต่ตัวเธอมักจะพูดเสมอว่าตนนั้นเป็นผู้ถือธงชาวแมนจู เฉกเช่นเดียวกับบิดาของตนเอง

องค์หญิงเตอหลิงใช้ชีวิตภายในกู้กงอยู่สองปี โดยระหว่างนั้นทำหน้าที่ในการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองด้วยความสามารถในการสื่อสาร ได้รับการแต่งตั้งยศองค์หญิง (กงจู่) ความสามารถของเธอได้รับการบันทึกเป็นฟุตเทจวิดีโอซึ่งกลายเป็นไวรัล ในขณะที่ก้าวปราศรัยโดยสวมชุดจีนโบราณตามแบบเจ้าหญิงราชวงศ์ชิงด้วยภาษาอังกฤษอย่างฉะฉาน
หลังจากออกจากวังต้องห้าม ยวี่เตอหลิงได้แต่งงานกับ Thaddeus C. White ชายอเมริกันและได้ย้ายไปอยู่สหรัฐอเมริกาภายหลังการล่มสลายของราชวงศ์ชิงเมื่อปีค.ศ.1915

ยวี่เตอหลิงกลายมาเป็นอาจารญ์สอนภาษาจีนที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และยังสร้างผลงานประพันธ์เกี่ยวกับประเทศบ้านเกิด ผลงานเด่นคือเรื่องราวภายในพระราชวังต้องห้ามชื่อว่า “สองปีในพระราชวังต้องห้าม (Two Years in the Forbidden City)” และหนังสือเรื่องอื่นๆ ซึ่งเป็นการบอกเล่าด้วยสายตาอันอ่อนโยนของบุคคลภายใน ดูไม่กระด้างเท่ากับมุมมองของต่างชาติซึ่งมองมายังราชนิกูลคนสำคัญของจีนอย่างซูสีไทเฮา นอกจากนี้ยังมีบทความจำนวนมากซึ่งตีพิมพ์ในภาษาอังกฤษอีกหลายฉบับ

องค์หญิงในราชวงศ์สุดท้ายเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ในแผ่นดินอื่น สามีของเธอยืนยันที่จะระบุในมรณบัตรของเธอว่า “Also known as Princess Der Ling” หรือ “รู้จักกันอีกในนามองค์หญิงเตอหลิง” ข้อมูลนี้ถูกหลงลืมไปเป็นทศวรรษ แต่เรื่องราวของเธอถูกชุบชีวิตขึ้นมาอีกครั้งผ่านหนังสืออัตชีวประวัติเมื่อปีค.ศ.2008 ด้วยฝีมือของ Grant Hayter-Menzies ในชื่อว่า “Imperial Masquerade: The Legend of Princess Der Ling”
เส้นทางชีวิตขององค์หญิงชิงในยุคสิ้นสุดนี้ เป็นตัวพิสูจน์การเดินทางในด้านการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในแผ่นดินจีนซึ่งก่อตัวมาเนิ่นนาน และเริ่มถึงจุดพลิกผันในช่วงชีวิตหนึ่ง ก่อนจะล่มสลายโดยไม่หวนกลับมา
เกิดในแผ่นดินจีน เติบโตในราชวงศ์ต้าชิง สิ้นชีวิตไปพร้อมกับความทรงจำสุดท้ายของพญาหงส์
Reference:
Grant Hayter-Menzies.“Princess Der Ling”. South China Morning Post. Available from: http://solongletty.tripod.com/princessderling/ [Cited: 20/08/2020]
Vivian Chen.(8 June, 2018). “Empress Cixi’s favourite princess Der Ling and what you didn’t know about her”. South China Morning Post. Available from: https://www.scmp.com/magazines/style/people-events/article/2149901/empress-cixis-favourite-princess-what-you-didnt-know [Cited: 20/08/2020]
Grant Hayter-Menzies.“Princess Der Ling”. Princess Der Ling Biography. Available from: http://solongletty.tripod.com/princessderling/ [Cited: 20/08/2020]