“คนอวดจู๋” กับภาพสลักเล่าเรื่องที่เก่าที่สุดในโลก

เป็นที่ฮือฮาอย่างมากเมื่อทางประเทศทูร์เคียหรือตุรกีที่เราคุ้นกันได้ออกรายงานระบุว่ามีการพบภาพศิลปะเล่าเรื่องที่เก่าที่สุดในโลก โดยสันนิษฐานว่ามีอายุราว 11,000 ปี ไล่เลี่ยกับแหล่งโบราณคดีอีก 2-3 แห่งที่ 1 ในนั้นได้ชื่อว่าเป็นวิหารที่เก่าที่สุดที่เคยพบในโลก แต่ไม่มีอะไรจะกระตุกจิตกระชากใจใครหลายคนเท่าภาพหนึ่งซึ่งเป็นภาพสลักคนเล่นจู๋ ทำเอาตะลึงกันไปตามๆ กันว่าคนเราอวดจู๋กันทำไม ทำเพื่ออะไร ทำไมมันถึงมีตั้งแต่ยุคเก่าขนาดนั้น เรามาหาคำตอบทีละประเด็นพร้อมกันในบทความนี้

แหล่งโบราณคดีไซบูร์ช (ออกเสียงตามภาษาตุรกี :Sayburç) อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของพื้นที่ประเทศตุรกี มีรูปแบบวัฒนธรรมใกล้เคียงกับแหล่งโบราณคดีอื่นๆ อีกหลายแห่งที่กระจายตัวอยู่ไม่ไกลกันนัก โดยมีแหล่งโบราณคดีสำคัญๆ อย่าง โกเบคลิ เทเป (Göbekli tepe), คาราฮัน เทเป (Karahantepe) ที่อยู่ในจังหวัดชานลึอูร์ฟา (Şanlıurfa district) เช่นเดียวกับไซบูร์ช

ตำแหน่งที่ตั้งของแหล่งโบราณคดีไซบูร์ชอยู่ตรงตีนเขาด้านตะวันออกของเทือกเขาทอรัส (Taurus) และห่างจากแม่น้ำยูเฟรติส (Euphrates) ราว 60 กม. บริเวณที่พบโบราณสถาน/โบราณวัตถุมีสัณฐานเป็นเนินดินที่ส่วนมากถูกครอบครองด้วยหมู่บ้านสมัยใหม่ในปัจจุบันที่เข้ามาอยู่อาศัยราวปีค.ศ. 1949 โดยไม่ได้ทราบถึงความเป็นมาหรือมีการค้นพบด้านโบราณคดีมาก่อน

Figure 1. Map of the Pre-Pottery Neolithic sites in Şanlıurfa (map by E. Özdoğan).

ตุรกีโดยเฉพาะบริเวณที่ราบลุ่มระหว่างแม่น้ำไทกริส (Tigris) และยูเฟรตีส ตรงส่วนด้านบนของพื้นที่ที่นักโบราณคดีเรียกว่า “วงเสี้ยวแห่งความอุดมสมบูรณ์” (Fertile Crescent) และถือว่าเป็น “บ่อกำเนิดอารยธรรม” (Cradle of civilization) นั้น มีการพบร่องรอยการตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ หลายแห่งมีการพัฒนาจากชุมชนโบราณมาเป็นเมือง อย่างกรณีของชาทัลฮือยึค (Çatalhöyük) ที่มีคนอยู่อาศัยสร้างที่พักกันตั้งแต่ยุคหินใหม่ (Neolithic) -ยุคทองแดง (รอยต่อยุคกึ่งก่อนประวัติศาสตร์ในตะวันออกกลาง-อียิปต์) กำหนดอายุด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ว่าเก่าแก่ราว 7500 – 6400 ปีก่อนคริสตกาล

แผนที่แสดงตำแหน่งไซต์ยุคหินใหม่ที่ยังไม่มีการผลิตเครื่องปั้นดินเผา (จุดสีแดง)
พร้อมกับแสดงไซต์ยุคหินใหม่ก่อนหรือที่ยังไม่พบการกสิกรรม (จุดสีดำ)
(Credit : GFDL, CC BY-SA 3.0, via Wikimedia Commons)

ในช่วงเวลาที่ค้นพบชาตัลฮือยึค นักโบราณคดีต่างให้ความเห็นว่าการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์โบราณเกิดขึ้นหลังจากมีการปฏิวัติเกษตรกรรมยุคหินใหม่ (Neolithic Revolution/1st Agricultural Revolution) ทำให้คนเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมเร่ร่อน-หาของป่ามาเป็นการสร้างหมู่บ้านแทน และกว่าจะเริ่มมีการสร้างโบราณสถานประเภทอนุสรณ์หรือศาสนสถานก็ต้องใช้เวลาหลังจากนั้นอีกหลายปี

Göbekli Tepe, Şanlıurfa by Teomancimit, CC BY-SA 3.0, via Wikimedia Commons

แต่การค้นพบที่โกเบคลิ เทเปที่เป็นโบราณสถานศิลาขนาดใหญ่ มีร่องรอยของศิลปกรรมที่มีทั้งรูปใบหน้าคน ตัวสัตว์ แกะสลักบนเสาหินรูปตัว T เป็นวงล้อมขนาดใหญ่ดัง “วิหาร” (Temple) ทำให้แนวคิดดังกล่าวต้องมีการอัพเดทกันใหม่ เนื่องจากแม้จะมีการพบสิ่งปลูกสร้างจำนวนมากตั้งแต่การขุดศึกษาค.ศ.1995 – ปัจจุบัน ยังไม่มีการพบร่อยรอยของภาชนะดินเผา การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน สุสาน ไปจนถึงร่องรอยของการทำไร่นากับหุงหาอาหารเลย มีเพียงร่องรอยของกระดูกสัตว์

เท่ากับว่าตอนนี้ยุคหินใหม่ในตุรกีมีการสร้างศาสนสถานก่อนการผลิตเครื่องปั้นดินเผาเสียอีก หลังจากโกเบคลิ เทเปแล้ว ตุรกีก็ยังพบชุมชนโบราณที่มีอายุเก่าแก่ราว 11,000-10,000 เพิ่มขึ้นอีกมากมาย และไซบูร์ชคืออีกแห่งที่น่าสนใจอย่างมาก

อย่างไรก็ตามการขุดค้นที่โกเบคลิ เทเปเองในปีค.ศ. 2021 นักโบราณคดีระบุเพียงว่าทำการขุดค้นในพื้นที่ไปแล้วราว 5% ของพื้นที่สันนิษฐานเท่านั้น เช่นเดียวกับกรณีของแหล่งโบราณคดีไซบูร์ชที่เริ่มดำเนินการในปีดังกล่าว มีเพียงพื้นที่เล็กๆ ที่ขุดเปิดแล้วเท่านั้น ทว่ากลับมีการค้นพบภาพสลักกับโครงสร้างของอาคารโบราณฝังอยู่ใต้ตึกสมัยใหม่

อาคารดังกล่าวมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 11 เมตรโดยประมาณ สร้างด้วยการแกะสลักหินปูนธรรมชาติ มีคานหินขนาดใหญ่คล้ายคานคอดินตัดขึ้นจากพื้นเป็นแนวรองรับน้ำหนักผนังซึ่งก่อด้วยศิลา ขนาดของคานสูง 0.6-0.8 เมตร กว้าง 0.6 เมตร มีความยาวไปตลอดแนวกำแพงที่คาดว่าเดิมมีโครงสร้างเสาคั่นกลาง พิจารณาจากขนาดของแนวโบราณสถานกับการค้นพบภาพสลัก ทำให้ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้อาจใช้เป็นที่ชุมนุมในโอกาสพิเศษของชุมชน เช่นเดียวกับโกเบคลิ เทเปก็เป็นได้

Extent of current excavations: only half of the communal building has been excavated to date (courtesy of the
Sayburç project archive).

บริเวณที่พบภาพสลักคือด้านในของคานหินที่รับผนัง โดยภาพที่พบใหม่อีก 2 ฉากนั้นเป็นรูปสลักบุคคล 2 คน ร่วมกับภาพสลักของเสือดาวและกระทิง ซึ่งทอดยาวไปตามแนวหินคล้ายบอกเล่าเรื่องราวที่สอดคล้องกัน ซึ่งอาจเป็นศิลปกรรมเกี่ยวกับความเชื่อบางประการ

ภาพสลักที่พบตามแนวหินรับน้ำหนักผนัง (Altuntaş, 2021)

จากภาพพาโนรามาด้านบน มองจากซ้ายไปขวา รูปสลักแรกคือภาพของกระทิงกำลังหันหน้าชี้เขาไปทางรูปบุคคลที่กำลังชูแขนที่ถือสิ่งที่เหมือนเป็นงู มือข้างที่ชูในอากาศมีนิ้วมือจำนวนมากกว่าปกติ ถัดจากนั้นจะเป็นภาพสลักของเสือดาว 2 ตัวหันหน้าเข้าหารูปชายที่กำลังถือลึงค์ด้วยมือขวา เสือตัวหนึ่งที่อยู่ฝั่งตะวันตกมีการเขียนอวัยวะเพศชายเอาไว้ ส่วนอีกตัวหนึ่งไม่ปรากฏ ตัวภาพทั้งหมดสลักเป็นรอยขูดขีดเป็นร่องลายเส้นแบบ 2D มีเพียงรูปบุคคลที่อวดอวัยวะเพศเท่านั้นที่ทำเป็นภาพกึ่งนูนสูงแบบ 3D

Credit: Sayburç Project Archive

ภาพคนอวดลึงค์นี้ถูกจัดวางองค์ประกอบให้ดูโดดเด่นจากพื้นหลังที่เป็นเพียงลายเส้น ทั้งยังเป็นรูปเดียวที่หันหน้าออกมาประจันหน้ากับผู้ชม ในขณะที่ภาพอื่นๆ ที่แม้จะสร้างเป็นรูปบุคคลเช่นกันก็ยังหันหน้าเข้าหาสิ่งประกอบอย่างกระทิงเท่านั้น

นักโบราณคดีที่ทำการศึกษาศิลปะของไซบูร์ช วิเคราะห์ว่าภาพสลักสองมิติของที่นี่มีความละม้ายกับแหล่งโบราณคดีร่วมสมัยกันอย่างที่โกเบคลิ เพียงแต่ว่าแตกต่างในจุดที่ไซบูร์ชพบว่าเป็นศิลปะเล่าเรื่อง (Narrative Art) อาจเป็นภาพสะท้อนของความทรงจำหรือเรื่องราวสำคัญสำหรับกลุ่มคนที่เคยอาศัยอยู่เมื่อ 11,000 ปีก่อน

ในศิลปะของโลกโบราณมีการพบคตินิยมสร้างประติมากรรมหรือรูปปั้นที่เกี่ยวข้องกับเพศมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตั้งแต่การสร้างเพียงรูปของอวัยวะเพศชาย-หญิง ไปจนถึงการสร้างรูปคนแสดงท่าทางอวดเครื่องเพศ เนื่องด้วยคนโบราณนั้นมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการกำเนิดของสิ่งต่างๆ ว่าเกิดขึ้นด้วยการสังวาส เพื่อบวงสรวงให้เกิดความอุดมสมบูรณ์จึงเกิดคติของการจำลองภาวะสมสู่กันของพลังธรรมชาติ

อ่านบทความสั้นๆ เกี่ยวกับ แนวคิดการสร้างศิลปะเพศได้ที่ลิ้ง Facebook ด้านบน

กรณีของไซบูร์ชนั้นมีการพบสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความแข็งกร้าวรุนแรง ด้วยการแสดงภาพของกระทิงกับเสือดาวที่เป็นสัตว์ดุร้ายอันตรายต่อมนุษย์ หนำซ้ำยังมีการเน้นย้ำส่วนที่เป็นอาวุธของสัตว์นั้นอย่างเขาหรือเขี้ยวก็ดี Jens Notroff นักโบราณคดีชาวเยอรมันที่ร่วมทีมวิจัยกับตุรกีจึงเสนอแนวคิดว่าภาพดังกล่าวเป็นการทำเพื่อแสดงอำนาจของความเป็นชาย (Masculinity) การที่เสือดาวกำลังแยกเขี้ยวเข้าหาชายผู้ซึ่งกำลังอวดลึงค์คือสัญญะเชิงอำนาจที่บุรุษกำลังท้าทายหรือเอาชนะภยันตรายนั้นๆ

ภาพมุมทแยงของคนถือลึงค์ (photograph by K. Akdemir).

กระทิงกับเสือดาวนั้นยังปรากฏอยู่ในแหล่งโบราณคดีอื่นๆ ส่วนงูที่บุคคลหนึ่งถืออยู่นั้นก็เช่นกัน นับจากการค้นพบที่โกเบคลิ เทเปกับไซบูร์ชนี้ ยังมีแหล่งโบราณคดียุคหินใหม่อีกประมาณ 15 แห่งที่พบในประเทศตุรกี การขุดค้นและศึกษาในอนาคตอาจทำให้เราเข้าใจบริบทกับรูปแบบของสังคมยุคหินใหม่ได้มากขึ้น ยังอาจจะสามารถตอบคำถามมากมายเกี่ยวกับลักษณะของศิลปกรรมคนอวดลึงค์ที่เราเห็นกันอยู่นี่

ปัจจุบันแหล่งโบราณคดีไซบูร์ชเองก็ยังต้องใช้เวลาอีกมากเพื่อทำการขุดค้น หากมองจากภาพด้านล่างคงจะเห็นว่าแนวโบราณสถานนั้นยังอยู่ใต้ตึกสมัยใหม่ที่สร้างครอบไว้ คงต้องมีการดำเนินการรื้อถอนอย่างระมัดระวังเพื่อทำการขุดค้นต่อไป

ภาพมุมสูงของบริเวณที่ขุดพบภาพสลัก จะเห็นแนวของอาคารยุคใหม่ที่สร้างครอบอยู่
(courtesy of the Sayburç project archive).

References :

ใส่ความเห็น

Please log in using one of these methods to post your comment:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.