ทิเบตยังคงดูเป็นแดนลึกลับในสายตาบ้านเรา แม้ว่าจะมีสถานการณ์การต่อสู้รุนแรงเพื่อเอกราชอยู่เนืองๆ ให้รับรู้กันบ้าง แต่เรากลับแทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับทิเบตเลย เอาล่ะ! เพราะงั้นมาเริ่มทำความรู้จักวัฒนธรรมทิเบต ที่ไม่ใช่เป็นแค่ลูกปัดและมันตรากันเหอะ รับรองว่าคุณอาจจะรักวิถีแห่งท้องทุ่งบนหลังคาโลกขึ้นมาไม่มากก็น้อย
ไม่คิดว่าจะได้เขียนเรื่องนี้ แต่ก็คิดว่าไหนๆก็อ่าน ก็ค้นแล้ว เขียนหน่อยแล้วกัน จะได้ให้คนอื่นหาอ่านได้ง่ายขึ้น เพราะตอนที่เราเคยเขียนนิยายเกี่ยวกับชนเผ่าทิเบตโบราณช่วงสมัยราชวงศ์ถังตอนต้น ซึ่งแน่นอนว่าเป็นช่วงเวลาที่ศาสนาพุทธเพิ่งเข้าไป และวัฒนธรรมท้องถิ่นยังไม่ถูกรบกวนหรือผสมผสานกับความเชื่อของพุทธศาสนาแบบที่เห็นในปัจจุบัน มันแทบไม่มีข้อมูลเท่าไรว่าชีวิตความเป็นอยู่ของชาติพันธุ์ทิเบตก่อนอิทธิพลจีนเป็นอย่างไร พวกเขากินนอนไปจนถึงแต่งกายกันอย่างไร มีข้อแตกต่างด้านวัฒนธรรมและสังคมอย่างไรบ้าง
สรุปคือ…จากการหาข้อมูลเพื่อจะเขียนนิยายแล้วแทบไม่เจอ (โดยเฉพาะเมื่อ 3-5 ปีก่อนล่ะมั้ง ดองเค็มนิยายไป) เลยคิดว่าบางเรื่องก็ยังไม่เห็นมีคนแปล หรือเขียนถึงเท่าไหร่ งั้นเราจะขอแบ่งปันข้อมูลที่ผ่านตามาเล่าสู่กันฟัง ส่วนการถอดทับศัพท์ชื่อต่างๆ กรณีคำทิเบตเราใช้ระบบการถอดเสียงแบบไวลี ในขณะที่ภาษาจีนอาศัยปรึกษาเอาจากคนที่ใช้ภาษาจีนได้ อาจจะผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ทีนี้
ก่อนจะเจาะลึก เรามาเท้าความก่อนว่า ทิเบต เป็นประเทศหรือกลุ่มชาติพันธุ์ในที่ราบสูงทิเบต ประกอบด้วยกลุ่มชนเผ่าท้องถิ่นที่ถูกรวบให้เป็นอาณาจักรและมีการเรืองอำนาจขึ้นในพื้นที่เอเชียกลางเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 11 (เอาเป็นว่าช่วงเวลาใกล้เคียงกับตอนที่จีนเปลี่ยนเป็นราชวงศ์ถังนั่นล่ะ) หลังจากปกครองด้วยระบบกษัตริย์ด้วยหัวหน้าเผ่ามาสักระยะ ก็เปลี่ยนผู้นำประเทศมาเป็นทะไลลามะ (ཏཱ་ལའི་བླ་མ་ | Dalä Lama) ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ชั้นสูงแทน จนกระทั่งตกอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลจีนในปัจจุบัน สถานการณ์ทางการเมืองทำให้ทิเบตมีปัญหาในการเรียกร้องเอกราชในการปกครองตนเองอยู่เนืองๆ ส่งผลให้แม้แต่องค์ทะไลลามะก็ต้องเสด็จลี้ภัยไปอยู่ในอินเดียตอนนี้
ปัจจุบันประเทศจีนได้เรียกทิเบตว่า “ซีจ้าง” (西藏) เป็นคำที่เริ่มใช้ตั้งแต่ยุคปลายราชวงศ์ชิงเป็นต้นมา ชื่อเรียกของทิเบตเปลี่ยนแปลงกันไปในแต่ละช่วงของประวัติศาสตร์จีน กล่าวคร่าวๆ ได้แก่ ถูปัวหรือถูฟ่าน [吐蕃] อันมาจากชื่อยุคจักรวรรดิทิเบตที่เรียกว่า “บดเชินโป” (བོད་ཆེན་པོ) แปลว่ามหาทิเบตคือทิเบตใหญ่, ซวนเจิ้งเอวี้ยน [宣政院] ในเอกสารของราชวงศ์หยวน, ส่วนสมัยราชวงศ์หมิงคืออูซือจ้าง [乌思藏] และสุดท้ายคือเว่ยจ้าง [衛藏] เริ่มประมาณช่วงราชวงศ์ชิงเป็นต้นมาก่อนใช้คำว่าซีจ้างดังที่กล่าวข้างต้น
เนื่องจากทิเบตนั้น แต่เดิมประกอบด้วยชนเผ่าเร่ร่อนในทุ่งหญ้าหลายๆกลุ่มมารวมกัน ทำให้ค่อนข้างจะมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมพอตัว ในที่นี่เราจะขอแบ่งภูมิภาคทางวัฒนธรรมของทิเบตตามแคว้นใหญ่ๆ ได้แก่ แคว้นอัมโด (ཨ་མདོ | Amdo), แคว้นขาม (ཁམས | Kham) และ แคว้นอูจ้าง (དབུས་གཙང | Ü-Tsang) คือแคว้นทางตอนกลางค่อนไปทางใต้ มีที่ตั้งเมืองหลวงลาซา (Lhasa) เรียกว่าเป็นทิเบตกลางหรืออู่วัฒนธรรมของชาติพันธุ์ทิเบตก็ว่าได้

ก่อนจะรับเอาศาสนาพุทธจากราชวงศ์ถังเข้าไป กลุ่มชาติพันธุ์ทิเบตมีศาสนาเดิมที่เรียกว่า “เบิน” (བོན) หรือ เปิ่นเจี้ยว (苯教) ในภาษาจีน ศาสนาเบินหรือที่บางแห่งแปลตามอังกฤษว่า “บอน” (Bon) มีลักษณะเข้ากับกลุ่มคติศาสนาผี/วิญญาณนิยม (Animism) เชื่อว่าสิ่งต่างๆ นั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ มีการสื่อสารผ่านหมอผี (Shaman) ต่อมาเริ่มมีการจัดการระบบความเชื่อเป็นระบบเทวราชา (Divine kingship) ที่เชื่อว่ากษัตริย์คือตัวแทนอำนาจของสวรรค์บนผืนดิน
ทิเบตเป็นดินแดนแห่งศรัทธาทุกย่อมหญ้าตั้งแต่ยุคโบราณ เมื่อรับเอาศาสนาพุทธเข้ามาก็หลอมรวมกับแนวปฏิบัติเดิมจนกลายเป็นสถานที่ที่เคร่งครัดและมีความเชื่อมั่นในหลักธรรมทางพุทธศาสนาแบบทุกลมหายใจเลยทีเดียว…
แต่เดิมวิถีชีวิตของคนทิเบตเป็นลักษณะของชนเผ่าเร่ร่อน (Nomad) มีการเลี้ยงฝูงปศุสัตว์จำพวกแพะแกะและจามรี ใช้ม้าเป็นพาหนะ ล่าสัตว์ชนิดอื่นเพื่อเป็นอาหาร ลักษณะใกล้เคียงกับคนมองโกลหรือชาติพันธุ์อื่นๆ ในทุ่งหญ้าแถบเอเชียกลางที่มีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน การแย่งชิงพื้นที่ระหว่างอพยพทำให้ชนเผ่าเร่ร่อนมักต้องมีเทคนิคทางการต่อสู้บนหลังม้าเพื่อปกป้องเขตแดนกับสมบัติล้ำค่า นั่นคือฝูงสัตว์ของพวกเขานั่นเอง จำนวนของสัตว์เป็นตัวบ่งบอกฐานะของเผ่าและครอบครัวนั้นๆ ทั้งยังถูกใช้เพื่อเป็นสินสอดหรือสินเดิมของบ่าวสาวในการออกเรือนด้วย
แม้จะถูกเรียกว่าทิเบตเหมือนกัน แต่ในกลุ่มชาติพันธุ์ทิเบตก็ยังมีแยกออกเป็นเผ่าต่างๆ แต่ถ้าจะต้องอธิบายแยกย่อยลงไปก็จะยืดยาวเสียเปล่า ดังนั้นเราจะมาพูดถึงวัฒนธรรมร่วมของพวกเขาเป็นหลัก การแต่งกายของกลุ่มชาติพันธุ์ทิเบตอาจมีความแตกต่างไปตามสภาพแวดล้อมกับฤดูกาล วัสดุที่นิยมนำมาทอผ้าคือใยขนสัตว์อย่างแกะและจามรี พวกเส้นใยจากพืชเป็นสิ่งที่มีไม่มากเนื่องจากภูมิประเทศของพวกเขาเป็นเทือกเขาสูงที่มีทุ่งหญ้าจำกัด เส้นใยได้มาจากการเก็บเกี่ยวจากปศุสัตว์ที่เลี้ยงกันเอาไว้ ปั่นออกมาเป็นเส้นด้าย อาจมีการนำไปย้อมสีต่างๆ ก่อนจะนำมาถักทอด้วยวิธีการที่แตกต่างกันเกิดเป็นผ้าหลากชนิดเรียกว่านามบู (སྣམ་བུ་|Nambu་)
สำหรับวัสดุที่นิยมนำมาทำเครื่องแต่งกายแบ่งออกเป็น 5 ประเภท
- ผ้าปูลู (ཕྲུག |Pulu་) เป็นผ้าทอจากขนสัตว์ที่นิยมใช้กันมาตั้งแต่โบราณ มีความหนาและทอขึ้นได้ง่าย มีราคาถูก ใช้ตั้งแต่ทำเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของชาวบ้านไปจนถึงพระ ทั้งยังซักทำความสะอาดได้ง่ายจึงเป็นวัสดุที่ใช้ทำรองเท้าบูทซัมบา (Sumba) และผ้ากันเปื้อนปังเทนของผู้หญิง สร้างลวดลายด้วยการเอาแผ่นผ้าหลากสีมาเย็บรวมกันเป็นแพทเทิร์นลายเรขาคณิตต่างๆ ปัจจุบันก็นิยมนำมาทำกระเป๋าและของที่ระลึกจากทิเบตที่หาได้ตามท้องตลาดทั่วไป
- ผ้าเชทมา (ཤད་མ་|Shedma) เป็นผ้าทอขนสัตว์ที่ยกระดับมาจากผ้าปูลูอีกที มีราคาแพงมากกว่า ใช้ทั้งเวลาและแรงงานที่มากกว่าการทอผ้าปูลู เมื่อทอเสร็จแล้วตัวเนื้อผ้าจะนุ่ม มีความมันเงาขึ้นมา ผ้าชนิดนี้จึงมักใช้ในครอบครัวที่มีฐานะดี ไปจนถึงใช้ตัดจีวรพระลามะชั้นสูง เพื่อทำความสะอาดกับรักษาเนื้อผ้าให้เงางาม ชาวทิเบตจะปั้นก้อนพัค (Pak) คือก้อนแป้งซามปา (རྩམ་པ་|Tsampa) ดิบๆ ที่ยังไม่คั่ว ใช้ก้อนซามปากลิ้งไปตามเนื้อผ้าเพื่อซับฝุ่นและสิ่งสกปรกอื่นให้ออกจากผ้า ผ้าเชทมายังใช้ทำผ้ากันเปื้อนของสตรีในลาซากับรองเท้าของผู้สูงศักดิ์ด้วย
- ผ้าบูเรหรือผ้าไหมดิบ (འབུ་རས་|Bure) เป็นผ้าที่นิยมทำเสื้อเชิ้ตแบบทิเบต ลักษณะเป็นผ้าไหมดิบนำเข้าจากภูฏาน (ฺBhutan) และอินเดีย
- ผ้าไหม (གོས་ཆན་|Silk) เดิมเป็นผ้าชนิดที่แพงมากที่สุด นำเข้าจากประเทศจีน ทำให้เป็นผ้าที่ปกติชนชั้นสูงและผู้มีฐานะสวมใส่ ทำให้ผ้าไหมกลายเป็นวัสดุในการสร้างงานพุทธศิลป์อย่างผ้าทังกา (ཐང་ཀ་|Thangka) ซึ่งเป็นจิตรกรรมเกี่ยวกับศาสนาซึ่งวาดหรือประดิษฐ์ลงบนผ้า นอกจากนี้อาจใช้ทำเครื่องนุ่งห่มของรูปเคารพสำคัญๆ และใช้ประทับเทวสถานบางแห่ง
- หนังสัตว์ เป็นอีกวัสดุที่นิยมใช้กันในพื้นที่สูงและเขตเร่ร่อนอพยพ เพราะหนังสัตว์มักจะรักษาความอบอุ่นและป้องกันความหนาวเย็นได้ดี หนังสัตว์ที่นิยมนำมาใช้กันคือหนังแพะ แกะ และอื่นๆ ที่หาได้จากพื้นที่ บางครั้งการสวมใส่เสื้อชูปาที่ทำจากหนังสัตว์ของคนท้องถิ่นมักเป็นช่วงเทศกาลหรือพิธีกรรมสำคัญ
หนังแกะอาจแบ่งเกรดตามความยาวและความโค้งงอของขน ไปจนถึงคุณภาพของหนัง ช่วงเวลาโดยแบ่งเป็นหนังแกะฤดูหนาว, ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง หนังลูกแกะเป็นวัสดุที่ดีในการทำเสื้อชูปา สีของหนังลูกแกะแบ่งเป็นสีขาวและสีดำหลักๆ ปัจจุบันถือว่าหนังลูกแกะสีดำมีราคาสูงกว่าสีขาว ในการทำเสื้อชูปาของชนชั้นกลางทั่วไปเพียงตัวหนึ่งต้องใช้หนังลูกแกะประมาณ 40 ชิ้น
ประเภทของเครื่องแต่งกายทิเบต
โดยปกติแล้วเครื่องแต่งกายต่างๆ ของชาติพันธุ์ทิเบตอาจมีความแตกต่างขึ้นอยู่กับภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และชนเผ่าหรือตระกูล แต่จะมีรายละเอียดที่ตรงกันหลักๆ อยู่บางประการ
การแต่งกายของชาวทิเบตก็เหมือนวัฒนธรรมอื่นๆ คือแบ่งตามกาลเทศะและบทบาทหน้าที่ ประมาณชุดสำหรับใส่ในชีวิตประจำวัน ชุดงานเทศกาล ชุดในโอกาสพิเศษอย่างงานแต่งงาน เสื้อผ้าเคยเป็นตัวบ่งชี้สถานะของผู้สวมใส่ ปัจจุบันค่านิยมดังกล่าวได้จางหายไป คนทิเบตจึงสวมใส่ชุดประจำชาติตามจริต ไม่ใช่เป็นเครื่องชี้บทบาททางสังคม เว้นแต่กลุ่มอาชีพบางอาชีพกับลามะ (พระสงฆ์ทิเบต)



เสื้อ “ชูปา” เอกลักษณ์ของชุดทิเบต
ชูปา (ཕྱུ་པ་ནི|Chuba) คือเสื้อนอกแบบชาวทิเบต มีลักษณะเป็นเสื้อคลุมตัวยาว มีแขนโคร่งๆ บางแห่งอาจนุ่งแบบทำเป็นเสื้อมีแขนซ้ายข้างเดียว แขนอีกด้านใช้พาดมัดเอวอยู่ใต้รักแร้ขวา บางทีก็ไม่มีแขน ชูปาจะผ่าเปิดข้างหน้าแล้วเวลาสวมใส่จะคาดยึดด้วยผ้าคาดเอวหรือเข็มขัด ด้านในเสื้อบุด้วยขนสัตว์เวลาอากาศเย็น ด้านนอกอาจประดับด้วยหนังสัตว์ ผ้าไหม หรือลูกปัด แล้วแต่ความนิยม ฐานะ ภูมิภาค และชนเผ่าของผู้สวมใส่
ส่วนจุดเริ่มต้นในการทำเสื้อชูปาสันนิษฐานกันว่าได้รับอิทธิพลมาจากเครื่องแต่งกายของชนเผ่ามองโกล ก่อนจะพัฒนาจนเป็นอัตลักษณ์เฉพาะขึ้น การนุ่งเสื้อชูปาแบบแขนเดียวบ้างก็เล่าว่าเป็นแบบที่สตรีมักสวมใส่แล้วจะสะดวกต่อการทำงานและให้นมบุตร แต่บางพื้นที่ผู้ชายก็ใส่เสื้อชูปาแบบแขนเดียวเช่นกัน ทำให้ปัจจุบันเราไม่สามารถระบุได้ว่าเสื้อรูปแบบนี้เป็นของเพศสภาพใดสภาพหนึ่ง แต่กับเสื้อชูปาที่ไม่มีแขนจะเป็นของผู้หญิงใส่ช่วงฤดูร้อน

ความแตกต่างอีกประการระหว่างชูปาของชายกับหญิงคือความยาวของเสื้อ ชูปาของผู้ชายจะมีความยาวถึงแค่ช่วงหัวเข่า ด้านในสวมกางเกงหลวมๆ กับเสื้อ ส่วนผู้หญิงชูปาจะมีความยาวคลุมจนถึงข้อเท้าทับตั้งแต่เสื้อและกระโปรง/กางเกงชั้นใน
(Photo by Sergio Pessolano, December 13, 2008 via Flickr)
สำหรับกลุ่มที่ทำอาชีพเกษตรกรรมและฟาร์มในพื้นที่ต่ำซึ่งมีความอบอุ่น เสื้อชูปาจะทำจากผ้าใยขนสัตว์บางๆ หรือฝ้าย หนังสัตว์ก็มีการใช้บ้างในหมู่ผู้หญิงโดยใช้หนังแพะ ผู้หญิงมักสวมชูปาแขนกุดในหน้าร้อน ขณะในกลุ่มชนเผ่าเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ซึ่งอาศัยบนพื้นที่สูงและมีสภาพอากาศที่เย็นกว่าจะสวมชูปาหนังสัตว์เป็นประจำในฤดูหนาว อาจมีการทำชูปาด้วยผ้าขนสัตว์ที่มีความโปร่งไว้สวมยามอากาศอบอุ่น
เสื้อชูปาที่ใช้ผ้าปูลูหลากสีเดิมเป็นของที่นิยมกันในหมู่หัวหน้าชนเผ่าและชนชั้นสูง ใช้สวมใส่แตกต่างตามโอกาสพิเศษ ผ้าปูลูแบบนี้มีถิ่นผลิตจากบริเวณรอบๆ เมืองลาซา คุณภาพของผ้ากับลายและสีอาจแตกต่างตามพื้นที่ผลิต อย่างผ้าปูลูของแคว้นอัมโดมักเป็นโทนสีแดงเข้ม รักษาความอบอุ่นดี มีความทนทาน ป้องกันฝนกับละอองน้ำได้ ทำให้ผ้าปูลูของแคว้นอัมโดสามารถสวมใส่ได้ทุกฤดูกาล

จากหมู่บ้านโซนัค (Sonak) มณฑลชิงไห่ (Qinghai)
Photo by Lhamo Drolma,Tsehua,and Puhua,Ralph Rinzler Folklife Archives
สไตล์ของเสื้อชูปาแบบดั้งเดิมที่สตรีของแคว้นขามและอัมโดจะมีความคล้ายคลึงกับชูปาของผู้ชาย แค่จะมีการใส่แตกต่างกัน ขอบพื้นของตัวผ้าประดับด้วยลายสี่เหลี่ยมต่างๆ คละกันไป เมื่อก่อนนอกจากจะประดับแถบผ้าสีต่างๆ แล้วยังนิยมใช้ผ้าไหมกับขนสัตว์ แต่หลังจากรัฐบาลเริ่มมีมาตรการควบคุมการค้าสัตว์ป่าทำให้เสื้อชูปาที่ประดับด้วยขนสัตว์จะคงเหลือแต่ในกลุ่มผู้ใหญ่ หนุ่มสาวก็หันมาใช้ผ้าไหมตกแต่งขอบเสื้อแทน ช่วงหน้าหนาวสตรีในเมืองลาซาก็นิยมสวมผ้าคลุมไหล่ทับชูปาที่มีความยาวถึงหัวเข่าด้วย
เราอาจกล่าวรวมๆ ได้ว่าเสื้อชูปาของผู้ชายนั้นจะเน้นความทนทานต่อการทำงานกลางแจ้งและสภาพอากาศที่หนาวเย็น ต้องมีความโคร่งโล่งสบาย แขนเสื้อต้องใหญ่และยาวพอที่จะใช้เป็นเหมือนถุงมือในช่วงฤดูหนาวได้ ในขณะที่เสื้อชูปาของผู้หญิงเน้นความกระชับคล่องตัวสำหรับทำงานในพื้นที่ปิดอย่างในครัวเรือน กระโจม คอกปศุสัตว์ และการทำหัตถกรรมพื้นบ้าน
เสื้อ
ตัวเสื้อซึ่งสวมอยู่ใต้ชูปาแทบไม่ค่อยมีความแตกต่างกันเท่าไรในเรื่องวัสดุ ทั้งกลุ่มเร่ร่อนและชาวนาต่างสวมเสื้อที่ทำจากไหมดิบ มักนำเข้าจากภูฏาน เสื้อของผู้ชายจะมีความโคร่งโครงใหญ่และแขนยาว ส่วนผู้หญิงจะสวมเสื้อที่ตัวเล็กและสั้นกว่าภายใต้เสื้อชูปาที่กระชับเข้ารูป สวมใส่ง่าย สำหรับโอกาสสำคัญเสื้ออาจใช้ผ้าไหมหรือผ้าฝ้ายที่บุด้านในด้วยใยขนสัตว์ ความหนาบางอยู่ที่สภาพอากาศในช่วงนั้น เช่น อากาศเย็นหน่อยก็บุขนสัตว์ ช่วงไหนร้อนก็ใช้แค่ผ้าฝ้ายที่ระบายอากาศดี

Photo by Lhamo Drolma,Tsehua,and Puhua,Ralph Rinzler Folklife Archives
รูปแบบของเสื้อแบ่งเป็น 2 ประเภท คือเสื้อที่กลัดกระดุมทางด้านข้าง มักจะเป็นฝั่งขวา กับแบบที่เป็นกระดุมผ่าทางด้านหน้า สีสันไม่ได้ตายตัวอะไรมากนัก ส่วนพระสงฆ์หรือคนที่ข้องเกี่ยวกับพุทธศาสนาจะสวมเสื้อที่เป็นสีส้มหรือเหลือง


Pedro Szekely from Los Angeles, USA, CC BY-SA 2.0, via Wikimedia Commons
ผ้ากันเปื้อน (Pangden | པང་གདན་)
ผ้ากันเปื้อนของทิเบตมีชื่อเรียกว่า “ปังเทน” (Pangden | པང་གདན་) เป็นเครื่องแต่งกายของสตรี เป็นการใช้ผ้าปูลูเย็บเป็นแพทเทิร์นหลากสีแล้วใช้พันทับเสื้อชูปาตั้งแต่ช่วงเอวลงมาอีกที มีหลากหลายรูปแบบและโทนสีสดใสเสมือนสายรุ้ง
ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ไม่ปรากฏว่าหญิงทิเบตเริ่มต้นใส่ผ้าปังเทนตั้งแต่เมื่อไร บางแหล่งข้อมูลบอกว่าเป็นค่านิยมที่เริ่มจากแคว้นอูจ้าง ข้อมูลจากการสอบถามผู้อาวุโสกล่าวว่าการสวมผ้าปังเทนเป็นสัญลักษณ์ของหญิงที่แต่งงานแล้ว ซึ่งผ้าปังเทนเองก็มีความสำคัญด้านความเชื่อด้วย เนื่องจากต้องใส่ตลอดหากหญิงใดทำผ้าปังเทนหายอาจเป็นลางว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับสามีได้ บางทีฝ่ายภรรยาอาจถึงขั้นต้องทำพิธีเพื่อตามหาผ้าปังเทนเลย
แม้ในอูจ้างจะมีความเชื่อว่าผ้ากันเปื้อนเป็นของสตรีที่ออกเรือนแล้ว ความเชื่อเกี่ยวกับผ้าปังเทนเองก็ค่อนข้างมีข้อแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ บางหมู่บ้านในทิเบตก็มีธรรมเนียมให้เด็กผู้หญิงสวมใส่ผ้ากันเปื้อนด้วยเช่นกัน บางเผ่าก็ถือกันว่าการสวมปังเทนใช้เป็นสัญลักษณ์แสดงว่าเด็กสาวเริ่มก้าวสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นเครื่องแต่งกายที่มีหลากหลายความเชื่อที่แตกต่างกันในอดีต ส่วนปัจจุบันปังเทนกลายเป็นเครื่องแต่งกายที่สตรีสวมใส่เป็นแฟชั่นกันได้ทุกวัย ไม่ได้จำกัดที่อายุและสถานะเหมือนอย่างอดีต
ผ้าที่นำมาทำปังเทนเป็นแบบเดียวกับผ้าปูลูที่ใช้ทำเสื้อชูปา แต่จะมีความบาง เล็ก และประณีตกว่าปูลู นอกจากทำเป็นผ้ากันเปื้อนแล้วก็ยังใช้เย็บถุงย่ามใส่ของของสาวๆ ด้วย คนรุ่นใหม่ยังชอบนำผ้าปังเทนมาประดับผนังห้องรับแขกเพราะความสวยงามละลานตาของมัน
การทำผ้าปังเทนจะเริ่มจากการปั่นเส้นใยขนสัตว์เป็นเส้นด้าย นำไปย้อมสีก่อนจะนำมาทอเป็นแถบผ้า จากนั้นนำแถบผ้าสีๆ มาเย็บรวมกันเป็นผืนใหญ่ สิ่งที่ถือว่าเป็นเสน่ห์ของปังเทนคือสีสันละลานตา การนำเอาสีในกลุ่มเดียวกันมาประชันเรียงกันอย่างแยบยลกลมกลืน การเลือกชุดสีที่มาประกอบอาจจัดแบ่งเป็นกลุ่มสีไล่จากมืดไปสว่าง หรือจะแยกเป็นกลุ่มๆ อย่างไม่เน้นแบบแผนก็ได้ ซึ่งอย่างหลังจะมีภาพรวมในความหลากหลายของสีสันมากกว่า เพราะอาจจะได้เจอทั้งสีที่เจิดจ้าและสีที่ดูแล้วอ่อนโยนก็ได้
บางคนอาจนำผืนสีกว้างๆ คนละโทนประกอบให้ตัดกันอย่างฉูดฉาดดึงดูดความสนใจ ส่วนหากอยากดูละเอียดบาดตามากขึ้น ก็ลดขนาดของแถบสีให้แคบลงแต่วางเรียงถี่ขึ้นโดยยังเล่นสีสันที่ขัดกันอยู่ สำหรับคนที่ไม่เน้นความโดดเด่นก็อาจใช้แถบสีแคบๆ ของสีโทนเดียวกันทว่าเป็นคนละเฉดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ
สาวในเขตเมืองมักจะชอบโทนแบบอย่างหลัง คือการใช้แถบผ้าชั้นดีที่มีสีกลมกลืนกันเพื่อสื่อถึงความสง่างามและนุ่มนวล ส่วนหญิงในพื้นที่เพาะปลูกและทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์จะนิยมปังเทนที่ประกอบด้วยสีสันตัดกันมากกว่า มีความกล้าที่จะเลือกใช้สีฉูดฉาดบาดตามากกว่าสาวในเมืองที่ต้องเน้นความสุภาพเรียบร้อย
น่าแปลกที่ผ้าปังเทนไม่ค่อยนิยมในหมู่สาวๆ แคว้นอัมโดและแคว้นขาม เป็นการยากที่จะพบสาวๆ หรือสตรีสูงวัยที่สวมปังเทนในย่านนั้น แม้เผินๆ การแบ่งลวดลายของผ้าอาจใช้การจำแนกด้วยการใช้สี แต่ก็มีวิธีแบ่งอีกแบบคือจากประเภทของวัสดุผ้าทอที่ใช้ แบบที่ดีที่สุดคือการใช้ผ้าเชทมา (เนื้อผ้าจะขึ้นเงา) รองลงมาคือผ้าปูลู ที่ถูกมากกว่านี้คือผ้านามบู บางครั้งก็ใช้ผ้าทอจากตะวันออกกลางบ้างก็มี เรียกว่าซีเซน (སི་ཤན་|Sishen) เพราะผ้าจากแถบนั้นมีสีสดและนุ่มสบาย
ฮาริ (Hari)
(Photo by BetterWorld2010, August 1, 2006 via Flickr)
ฮาริคือเครื่องประดับชิ้นสำคัญที่สืบทอดกันในครอบครัวคนทิเบตในแคว้นอัมโดและขาม มักสวมใส่ในงานพิธีและเทศกาลสำคัญต่างๆ มีลักษณะเป็นสายคาดแผ่นหลังประดับด้วยของมีค่าหลากชนิด ตั้งแต่เพชรพลอย หินมีค่า ไปจนถึงทองคำและเงินหนักหลายกิโลกรัม บางครอบครัวอาจมีฮาริที่ทิ้งชายยาวตั้งแต่บั้นเอวลงมาตลอดชายผ้านุ่งจนระพื้น
สายคาดฮาริเป็นสมบัติที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เกิดจากการสะสมจากบรรพบุรุษ ทั้งยังเป็นเครื่องแสดงฐานะและความมีหน้ามีตาของตระกูลชาวขาม ฮาริยังเป็นเครื่องรางที่เชื่อกันว่าป้องกันสิ่งชั่วร้ายได้ มณีที่นิยมนำมาประดับฮาริก็ได้แก่อำพัน เทอร์ควอยซ์ และหินปะการัง ส่วนโลหะก็นิยมทองและเงินซึ่งสามารถหากับถลุงได้ในพื้นที่ทิเบต สายฮาริของบางบ้านอาจรวมประวัติศาสตร์อันเก่าแก่มากกว่าร้อยปีของครอบครัว จากหลักฐานทางโบราณคดีย้อนไปไกลถึงคริสต์ศตวรรษที่ 1 ปรากฏว่ามีการพบเครื่องประดับในเขตแคว้นขามที่ยังมีหน้าตาอย่างเดียวกับชิ้นที่คนรุ่นหลังสวมใส่ออกงานกันตอนนี้
อัญมณีทุกชิ้นจึงแฝงความหมาย
ลวดลายของโลหะทำหน้าที่เล่าตำนาน
หินปะการังที่มีสีสวยงามจัดว่าเป็นสินค้านำเข้ามาช้านาน ทิเบตในยุคประวัติศาสตร์เป็นพื้นที่สูงที่ห่างไกลทะเลอย่างมาก วัสดุบางอย่างจึงอาศัยการค้าทางไกลกับชุมชนอื่น การอวดเครื่องประดับที่ทำจากหินปะการังสีสดจึงถือว่าดูแพงในย่านนี้
เมื่อมีการรับเอาศาสนาพุทธเข้ามา ชาวทิเบตก็เริ่มนำเอารูปแบบศิลปกรรมที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนามาเป็นส่วนหนึ่งของการประดับฮาริด้วย เช่นการนำหอยสังข์มาประดับ หรือการใช้เครื่องรางต่างๆ
(Photo by BetterWorld2010, May 6, 2011 via Flickr)
เรื่องของหมวก
ปัจจุบันหมวกทรงคาวบอยเป็นที่นิยมกันมากในหมู่ชาวทิเบตทั้งชายหญิง โดยเฉพาะในแคว้นขามและอัมโด แต่จริงๆ แล้วหมวกในวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ทิเบตค่อนข้างมีความหลากหลาย บางครั้งก็เป็นเครื่องบอกสถานะทางสังคมและบทบาทด้วย เช่นหมวกของลามะแบบต่างๆ หมวกของพวกศิลปิน ไปจนถึงหมวกของคนเลี้ยงสัตว์แห่งท้องทุ่ง สไตล์การตกแต่งก็อาจบ่งบอกภูมิลำเนาของผู้สวมว่ามาจากหมู่บ้านหรือแคว้นไหนได้อีกด้วย
หมวกสักหลาด (Felt) เป็นหมวกแบบที่เก่าแก่สุดในทิเบตที่ยังมีคนสวมใส่กันอยู่ถึงปัจจุบัน คนในมณฑลกานซูและชิงไห่ยังคงนิยมหมวกแบบนี้ เพราะทำง่ายไม่ซับซ้อน ชาวแคว้นอัมโดจึงนำทรงหมวกสักหลาดสีขาวพื้นๆ มาประดับด้วยสีสันจากวัสดุประเภทอื่นเติมเข้าไปให้ดูสวยงามมากยิ่งขึ้นดังที่เราจะพบเห็นได้ตามงานเทศกาล
ลักษณะของหมวกแม้จะมีความหลากหลายไปตามแต่ละเผ่า แต่โดยทั่วไปหมวกของชาวทิเบตจะมีอยู่ 4 แบบหลักๆ คือ หมวกสี่ปีก, หมวกขนจิ้งจอก, หมวกทรงกะลาคว่ำ และหมวกหนังแกะ โครงหลักของหมวกจะใช้วัสดุที่หาได้จากท้องถิ่น แล้วประดับตกแต่งด้านนอกตามแต่ฐานะและทรัพยากรจะอำนวย ทรงหมวกของผู้ชายอาจจะมีความกลมและสูงกว่าหมวกของผู้หญิงที่จะเป็นทรงต่ำๆ ประดับด้วยหินมีค่าต่างๆ เพื่อเน้นความสวยงาม บางที่อาจตกแต่งด้วยด้ายทองปักรูปใบไม้หรือวงคลื่น
หมวกหนังลูกแกะ
หมวกหนังลูกแกะนิยมกันมากในกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์ มักเลือกใช้หนังลูกแกะคุณภาพดีสีเดียวมาขึ้นรูปทรงตามสะดวก ปกติอาจใช้เป็นปีกหมวกหรือปิดทับโครงหมวกอีกที เช่นใช้เป็นปีกของหมวกนาซีที่จะนิยมพับปีกทั้งสี่ด้านขึ้น
หมวกสี่ปีก (four-flaps-hats)
ภาษาทิเบตเรียกว่า “นาซี” (Naxi)หมวกแบบนี้จะสวมใส่กันโดยทั่วไป ลักษณะจะเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีตามไซต์ก่อสร้างบ้านเรา หรือมนุษย์เดินป่า คือเป็นหมวกทรงระฆังคว่ำแล้วมีปีกออกมา 4 ด้าน ปิดด้านหลัง ด้านหูทั้ง 2 ข้าง และมีผ้าปิดรูปตัว U ด้านหน้า ปีกจะพับขึ้นได้ ตัวหมวกมักทำจากผ้าใยขนสัตว์สีดำ มีการตกแต่งแล้วแต่ความชอบ
United Nations Photo , August 1, 1992 via Flickr)
หมวกสี่ปีกปักทองหรือซาโม ไกยเซ (Xamo Gyaise)

หมวกสี่ปีกแบบนี้เย็บด้วยผ้าสักหลาด แล้วจึงตกแต่งยอดด้วยไหมสีทอง ขอบหมวกประดับด้วยริบบิ้นไหม ตัวปลายปีกทุกด้านนิยมเดินขอบด้วยขนสัตว์ หมวกซาโม ไกยเซมีผู้สวมใส่ทั้งชายหญิงจึงสามารถพบเห็นกันตามท้องถนนทั่วไป ถ้าสวมโดยผู้หญิงปีกหมวกทางด้านหน้าและหลังจะถูกพับเข้าด้านใน ส่วนสองข้างซ้าย-ขวาปล่อยห้อยปิดหู ช่วงไหนหิมะตกปีกทุกด้านจึงจะถูกปล่อยออกมาเพื่อป้องกันหิมะกับความหนาวเย็น ส่วนผู้สูงอายุมักชอบปล่อยปีกทั้งสี่ไว้ด้านนอก ไม่พับเข้าข้างในหมวกเหมือนหนุ่มสาว
(Photo by Jano Escuer , August 11, 2011 via Flickr)
หมวกซางเกซีโยว (Sang-Ge-Si-You)

หมวกซางเกซีโยวเป็นหมวกเฉพาะผู้หญิงสวมใส่ในฤดูร้อน มีรูปทรงเป็นกระบอกกรวยแหลม (คล้ายที่ตักผง | dustpan shape) โครงของหมวกขึ้นรูปด้วยซีกไม้ไผ่, กิ่งหลิว หรือตะเกียบไม้ แล้วหุ้มด้วยผ้าสีดำ แต่งทับด้วยผ้าลายดอกหรือผ้าไหมสีสดใส ปีกหมวกด้านหน้าอาจใช้ประดับห้อยปิดส่วนหน้าผากได้
หมวกขนจิ้งจอก
เมื่อพูดถึงชนเผ่าในแถบนี้จะไม่มีหมวกขนจิ้งจอกได้อย่างไร ช่วงหน้าหนาวหมวกขนจิ้งจอกจะได้รับความนิยมอย่างมาก กระบวนการเตรียมหนังและขนจิ้งจอกดั้งเดิมจะใช้กรรมวิธีธรรมชาติ ใช้สมุนไพรแบบไม่มีการใช้เคมี ในพื้นที่เพาะปลูกจิ้งจอก 1 ตัวสามารถแบ่งหนังมาทำหมวกได้ 2 ใบ ความสูงของหมวกจะอยู่ที่ราว 30 ซม. นิยมสีดำ ความยาวของปีกหมวกจะสามารถพับขึ้นด้านบนได้ บางครั้งก็อาจใช้เย็บเป็นส่วนปีกของหมวกผ้าทรงกะลาคว่ำ โดยเป็นส่วนที่สามารถม้วนพับขึ้นได้เช่นกัน
ในเขตทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ชนเผ่าเร่ร่อนจะใช้ทั้งหนังและขนจิ้งจอกทั้งแผ่นทำหมวก ทำให้หมวกของกลุ่มนี้จะมีความสูงมากๆ เป็นกรวยแหลมขึ้นไปและไม่มีการพับ ปลายยาวด้านบนมักจะใช้วิธีปล่อยลงไปตามด้านหลังศีรษะยาวลงไปมากกว่าจะม้วนขึ้นแบบชาวนา บางที่อาจจะดิบกว่านี้คือใช้หนังจิ้งจอกม้วนบนศีรษะเลย โดยส่วนหัว หาง และแขนขาจะถูกมัดรวมกันที่ด้านหลัง เคล็ดสำคัญคือต้องเหลือส่วนหางออกมาห้อยข้างหลังหูของผู้สวมด้านใดด้านหนึ่ง
หมวกขนจิ้งจอกจะเป็นที่นิยมอย่างมากในแคว้นอัมโดที่จะมีความหนาวเย็น หมวกคุณภาพดีจะเลือกใช้ขนจิ้งจอกสวยๆ เย็บประดับกับผ้าไหม หมวกแบบนี้คนทิเบตมองว่าใส่แล้วดูหล่อเท่สำหรับหนุ่มสาว แถมปลายยาวๆ ก็ยังช่วยปิดไหล่ป้องกันลมหนาวได้ดี
เครื่องทรงองค์ประดับ
เครื่องประดับถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของชุดพื้นเมืองทิเบตแบบที่ขาดไม่ได้ เพราะนอกจากจะมีไว้เพื่อความสวยงามแล้ว ยังแสดงถึงความหมายทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะด้านความเชื่อเอาไว้ด้วย ถึงแม้จะอยู่ในถิ่นทุรกันดารและเขตทุ่งหญ้าก็ยังคงต้องมีเครื่องประดับบางชิ้นปรากฏอยู่ทั้งในการแต่งกายของชายและหญิง
อย่างตามขอบเสื้อชูปาหรือเสื้อตัวในเองก็ยังอาจตกแต่งด้วยขนสัตว์หลายประเภท ผ้าหลากสีสัน ไปจนถึงอัญมณีและหินปะการัง ชาวทิเบตนิยมชมชอบในหินมีค่าอย่างคาร์นีเลียนและเทอร์ควอยซ์ หินเหล่านี้ถูกนำมาเจียระไนและใช้เป็นส่วนประกอบของสร้อยคอ ต่างหู เข็มขัดผ้าคาดเอว ไปจนถึงเครื่องประดับศีรษะของหญิงสาวที่มักทำมาเพื่ออวดประชันกันยามออกงาน
สาวๆ แคว้นอัมโดชอบใช้หินปะการังสีสดกับเทอร์ควอยซ์เม็ดใหญ่เป็นยอดของจี้สร้อยคอ เพราะถือว่ายิ่งใหญ่มากก็จะยิ่งแสดงถึงความมั่งคั่ง แถมยังใส่ร่วมกับสร้อยคอทำจากลูกปัดหินสีสดหลายเฉดแน่นขนัดเต็มไปหมดอย่างไม่กลัวจะหนักอกหนักใจกันเลยทีเดียว
เครื่องประดับแบบจารีตยังเน้นสอดแทรกคติทางพุทธศาสนาวัชรยาน เช่นการทำกำไลเงินสลักคาถา “โอม มณี ปัทเม หุม” หรือจี้ที่ทำเป็นทรงวัชระ เครื่องรางทั้งสองแบบคนทิเบตเชื่อว่าใช้ขับไล่สิ่งชั่วร้าย กิเลส บาป เรียกสิ่งดีๆ ความกล้าหาญและปัญญามาสู่ผู้สวมใส่
เครื่องรางบางชิ้นอาจอยู่ในรูปกรอบเลี่ยมพระหรือรูปเคารพทางศาสนาเรียกว่า “กาอู” (གའུ|Ga’u,จีน : 嘎烏) ทำจากโลหะอย่างเงินหรือทอง ด้านในใส่พระพุทธรูปขนาดเล็ก อารมณ์ทำนองพระเครื่องแบบไทยเรา ประดับด้วยเพชรพลอยอัญมณี ใช้ห้อยประดับที่สายรัดเอว
สำหรับผู้หญิง พวกเธอจะถักเปียอยู่ในหลายโอกาส ทำให้ต้องมีเครื่องประดับสำหรับตกแต่งผมเปียด้วย โดยเฉพาะสตรีที่อยู่ในเขตเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ เธอเหล่านั้นจะให้ความสำคัญกับการประดับเปียมากที่สุด ในขณะที่หญิงชาวนามักเน้นการทำเครื่องประดับศีรษะที่เป็นผ้าโพกหัวหรือกะบังผมขนาดใหญ่ใช้แทน ซึ่งกะบังผมเหล่านั้นอาจมีขนาดกว้างได้ถึงประมาณ 12-13 ซม.
เครื่องประดับผมของหญิงในเขตทุ่งหญ้าแบ่งได้เป็น 2 แบบ อย่างแรกคือแบบขนาดใหญ่ที่เป็นกระบังทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าประดับแผ่นเงินทรงถ้วย 6 ชิ้นตรงกลาง ล้อมด้วยแผ่นเงินขนาดเล็กกว่าแต่ทรงเดียวกันอีก 23 ชิ้น ตรงปลายขอบด้านล่างห้อยพู่ระบายสีแดง ส่วนอีกแบบจะเล็กกว่า ทำเป็นฐานทรงจัตุรัสแล้วแต่งด้วยแผ่นหินโมรา ปะการัง เทอร์ควอยซ์ และหินมีค่าชนิดอื่นๆ ส่วนปลายยังคงใช้การแต่งพู่ระบายสีแดงเช่นกัน
ผู้หญิงทางตอนเหนือของแคว้นอัมโดนิยมประดับทรงผมเปียด้วยหินปะการังและโมราชิ้นใหญ่วางเรียงกันเป็นระยะๆ ลงไปตามเปีย แล้วคั่นด้วยเครื่องประดับทองและเงิน สาววัยรุ่นมักชอบสวมใส่กะบังผมที่ตกแต่งด้วยหินปะการังและอำพันสีสดด้วยถือว่าดูสวยดีที่สุด

วันนี้ก็คงต้องขอตัดบทจบลงที่ตรงนี้เสียก่อน อย่างไรเรายังเหลือเรื่องของ “ทรงผม” และ “เครื่องแต่งกายพิเศษ” ที่ยังไม่ได้เอามารวมอยู่ในบทความนี้ ก็ขอฝากติดตามตอนต่อไปกับ #แฟชั่นเผ่า ด้วยนะคะ
ทิ้งท้ายกันที่คลิปแนะนำการแต่งกายทิเบตแบบสั้นๆ ของทาง Smithsonian ค่ะ
Featured photo : Romeo_Luo
References:
- Britannica, T. Editors of Encyclopaedia (2017, April 25). Bon. Encyclopedia Britannica. https://www.britannica.com/topic/Bon-Tibetan-religion
- Catherine.(July 18,2022).Tibetan Clothing and Diverse Tibetan Dress Culture.Great Tibet Tour.https://www.greattibettour.com/tibetan-culture/tibetan-clothing.html
- Dressing the Amdo Way.(May 22, 2004).China Daily.http://www.china.org.cn/english/2004/May/96144.htm
- factsanddetails.(September 2022).TIBETAN CLOTHES: TYPES, ROBES, PULU, HATS AND BOOTS.Facts and Details.https://factsanddetails.com/china/cat6/sub35/entry-4437.html
- Montejano,L.(January 31, 2016).The Tibetan Chuba.Aculturame.https://aculturame.com/2016/01/31/the-tibetan-chuba/
- Staff Reporter.(November 7, 2018).Photo Story: Pangden, Rainbow Wrapping around Tibetan Women’s Waist.Central Tibetan Administration.https://tibet.net/photo-story-pangden-rainbow-at-tibetan-womens-waist-on-this-lhakar/
- Tibetan Clothes–Men and Women.(n.d.).Top China Travel.https://www.topchinatravel.com/tibet-travel/tibetan-clothes-men-and-women.htm
- Tibetan Weaving.(n.d.).i-tibet travel.https://itibettravel.com/tibetan-weaving/
- Traditional Tibetan Clothing.(n.d.).i-tibet travel.https://itibettravel.com/traditional-tibetan-clothing/
- Tsepak,N.(n.d.).Tibetan clothing.Smithsonian Center for Folklife and Cultural Heritage.https://folklife.si.edu/lag-zo/in-the-tent/clothing
- Tsering,L.(January 19, 2021).The Essence of Tibetan Culture Seen through The Attire and Accessories They Adorn.Tibet travel.https://www.tibettravel.org/tibetan-people/tibetan-clothing-and-accessories.html
- Tso, L. (2018). Changes in Culture and Customs in the Diaspora Tibetan Community: the Hari Ornament of the Mother of His Holiness the 14th Dalai Lama. The Tibet Journal, 43(1), 143–160. https://www.jstor.org/stable/26634907
- Xin,C.(August 3, 2018).Bangdian, rainbow at Tibetan women’s waist.Tibet Travel.https://www.tibettravel.org/tibetan-handicrafts/tibetan-apron.html
- Xin,C.(December 31, 2020).Interesting Tibetan women’s headdress.Tibet Travel.https://www.tibettravel.org/tibetan-people/tibetan-womens-headdress.html
- Xin,C.(August 14, 2018).Tibetan Hats.Tibet Travel.https://www.tibettravel.org/tibetan-people/tibetan-hats.html

ฮาริดูสวยงามมาก แต่ออกจะหนักไปหน่อยนะคะ^^
ถูกใจถูกใจ
คิดว่าถ้าทางนี้ใส่คงขอนั่งเฉยๆ ค่ะ เฉยๆ ก็แพง 555
ถูกใจถูกใจ