ปริศนาที่ติดใจใครหลายคนมาอย่างยาวนานพอๆ กับพีระมิดสร้างยังไง ก็คือความลับของเหล่ามัมมี่ที่ถูกรักษาข้ามผ่านเวลาหลายพันปี เราต่างรู้ว่าอากาศทะเลทรายและนาตรอนมีส่วนในกระบวนการเหล่านั้น แต่ในการดองร่างไม่ให้เน่าเปื่อยนั้นต้องอาศัยสารอะไรบ้าง แล้วเรารู้ปริมาณและการใช้สารแต่ละตัวมากแค่ไหน? งานวิจัยล่าสุดจากซัคคาราได้เปิดเผยข้อมูลส่วนผสมเหล่านั้นออกมา และน่าทึ่งว่าสารบางตัวเดินทางมาจากคนละซีกโลกอย่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยทีเดียว
ก่อนอื่นเราต้องกล่าวก่อนว่าองค์ความรู้เดิมเกี่ยวกับการทำมัมมี่ของชาวอียิปต์โบราณค่อนข้างมีความจำกัด หลักฐานที่เป็นรูปธรรมมีอยู่น้อย หลักฐานเกี่ยวกับกระบวนการและสารที่ใช้ดองมัมมี่นั้นมาจากแหล่งสำคัญ 2 อย่าง คือจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ ได้แก่บันทึกของชาวกรีกอย่างเฮโรโดตัส (Herodotus) กับไดโอโดรัส ซิคูลัส (Diodorus Siculus) นอกจากนี้อาจมีเอกสารภาษาอียิปต์โบราณอายุราว 1,450 ปีก่อนคริสตกาลที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเทคนิคการดองศพ แต่มีความจำกัดในด้านส่วนผสมของที่ใช้ในการดอง อีกหลักฐานคือการวิเคราะห์หาสารอินทรีย์บนตัวมัมมี่และผ้าห่อศพจากหลักฐานที่มีการรบกวนด้วยการแก้ผ้าห่อศพออก ทำใหัเราพอจะรู้คร่าวๆ ว่ามีการใช้อะไรบ้าง แต่ไม่เคยมีการระบุได้อย่างแน่ชัดว่าสำหรับตัวยาดองศพแต่ละชนิด แต่ละการใช้งาน ชาวอียิปต์ใช้สูตรอะไรผสมกัน
กล่าวง่ายๆ คือ ถ้ามัมมี่คือปลาราดพริก เรารู้ว่าปลาราดพริกมีรสชาติยังไง ใช้อะไรบ้างผ่านการกิน แต่เราคงประมาณไม่ได้ว่าน้ำซอสที่เอามาราดบนปลาใช้อะไรแบบแน่ชัด เพราะแม่ครัวไม่เคยจดสูตร แถมเรายังกินจนหมดจานเพราะมันอร่อยมาก ต่อให้เราวางจานนั้นทิ้งไว้ไม่ได้ล้าง แล้วมีคนมาถามเราว่าปลาราดพริกที่กินไปมีส่วนผสมอะไร คนทั่วไปก็คงยากจะตอบ ในจานก็ว่างเปล่าเหลือแต่ก้าง นี่คือปัญหาของการที่นักโบราณคดีเจอโถหรือภาชนะที่เขียนบอกว่านี่สูตรซอสปลา เอ้ย…ยาดองมัมมี่มาเป็นระยะ ทว่ากลับไม่สามารถพูดได้ว่าในโถที่แห้งเหือดเหล่านั้นเคยใส่อะไรบ้าง ไม่ใช่เพราะพวกเขากินน้ำยาดอง แต่เป็นเพราะกาลเวลานับพันปีที่บริโภคเอาสารพวกนั้นระเหยไปจนสิ้น
อ่านกระบวนการทำมัมมี่ (Mummification) ของชาวอียิปต์เพิ่มเติมได้ทาง…
กระบวนการทำมัมมี่ของอียิปต์โบราณ
พูดถึงอียิปต์โบราณ นอกจากพีระมืดแล้วสิ่งที่ทำให้เรานึกถ…
กระบวนการทำมัมมี่ ให้ความสำคัญกับการทำให้ร่างกายแห้งด้วยการใช้เกลือนาตรอน (Natron) มีการผ่าตัดควักเครื่องใน (Evisceration) เพื่อนำเอาปอด, ตับ, กระเพาะ และลำไส้ซึ่งเป็นอวัยวะที่มักเกิดการเน่าสลายได้ง่ายและรวดเร็ว เพราะในกระเพาะกับลำไส้ของมนุษย์จะมีแบคทีเรียตามธรรมชาติอาศัยอยู่ แน่นอนว่าต้องมีการนำเอาเนื้อสมองออก (Excerebration) ซึ่งรายละเอียดเทคนิคเหล่านี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันไปบ้างในแต่ละช่วงสมัย
มีการชโลมร่างทั้งภายในและภายนอกเพื่อยับยั้งการเกิดเชื้อรา แบคทีเรีย และการเน่าเปื่อยด้วยยางไม้ ขี้ผึ้ง และน้ำมันต่างๆ ซึ่งสารที่นำมาใช้ในกระบวนการนี้เองที่อดีตเรายังไม่สามารถระบุส่วนผสมของมันได้ เพราะมักจะระเหยไปหมด งานวิจัยชิ้นนี้ของ Rageot กับทีมจึงเป็นครั้งแรกที่มีการระบุส่วนผสมนี้ได้
นักโบราณคดีมีการพบสถานปลงศพแห่งหนึ่งในซัคคารา ดำเนินการขุดค้นไปเมื่อค.ศ.2016 โดยรามาดัน ฮุสเซน (Ramadan Hussein c.1971-2022) นักอียิปต์วิทยาผู้ล่วงลับ สถานประกอบพิธีศพมีปากปล่องอยู่ด้านบนพื้นดิน ตีช่องลึกตรงลงมายังใต้ดินเป็นห้องดองศพกับโถงสุสาน ซึ่งเป็นจุดที่มีการค้นพบภาชนะใส่สารดองศพต่างๆ กำหนดอายุราวราชวงศ์ที่ 26

ดร.ซาลิมา ไอคราม (Salima Ikram) อธิบายว่าสถานปลงศพแห่งนี้จะเป็นที่ประกอบพิธีกรรมช่วงสุดท้าย หลังจากทำร่างกายผู้ตายให้แห่งด้วยนาตรอนบนพื้นที่ด้านบนแล้ว สัปเหร่อจะนำศพนั้นลงมาเริ่มพิธีดองศพที่ใต้ดิน ภายในจุดที่มีการพบภาชนะดังกล่าว

ในบรรดาถ้วยโถโอชามเหล่านั้น มีหลายชิ้นที่ระบุป้ายกำกับว่า “อันติยู” (Antiu) และ “เซเฟต” (Sefet) ซึ่งเป็นคำที่ปรากฏในเอกสารของอียิปต์โบราณหลายครั้ง แต่ไม่สามารถทำการแปลหรือระบุได้อย่างชัดเจนว่าเป็นชื่อของสารหรือสารผสมอะไร ทำให้คำว่าอันติยูมักจะถูกเข้าใจว่าเป็น “มดยอบ” (Myrrh) และเซเฟตคือ “น้ำมัน”
การค้นพบที่ซัคคารานี้ แม้จะทำให้เห็นสภาพดั้งเดิมของสถานที่แต่มีข้อจำกัดที่พบสารประกอบหลงเหลือในภาชนะที่ไม่สามารถระบุชื่อนอกไปจากหน้าที่ใช้งานที่เขียนกำกับอยู่ ทำให้สามารถเข้าใจได้ในเบื้องต้นคือผู้ปลงศพจะใช้สารหลากชนิดแบ่งตามหน้าที่กับบริเวณที่ใช้ อาทิ “ใช้สำหรับส่วนศีรษะ” หรือ “ใช้สำหรับรักษาสภาพผิว” เป็นต้น
เพื่อไขคำถามที่ค้างคาใจมาหลายทศวรรษ ในการศึกษาครั้งนี้นำเอาตัวอย่างจากภาชนะดินเผาไปทำการเข้าเครื่องทดสอบด้วยเทคนิคแก๊สโครมาโทกราฟี-แมสสเปกโตรเมทรี (Gas Chromatography-Mass Spectrometry) เพื่อจะตรวจดูว่าสารในภาชนะเหล่านั้นปรากฏร่องรอยของสารชนิดใด โดยคัดเลือกตัวอย่างที่มีป้ายกำกับการใช้งานชัดเจนจำนวน 31 ชิ้นจากห้องดองศพและโถงฝังศพ การศึกษาครั้งนี้จึงทำให้เข้าใจว่าอันติยูและเซเฟตคือส่วนผสมของสารหลากชนิด รวมถึงไขมันสัตว์, น้ำมันซีดาร์ และยางไม้สน
Gas chromatography–mass spectrometry (GC-MS)

เป็นเครื่องตรวจหาสารประกอบอินทรีย์ต่างๆ ทำงานด้วยการแยกส่วนประกอบผ่านเครื่อง GC (Gas Chromatograpy) แล้วจึงนำไปเข้าเครื่อง MS (Mass Spectrometer) เพื่อตรวจดูว่าสารแต่ละตัวมีเลขมวลเท่าใด ทำให้สามารถวิเคราะห์ว่าตัวอย่างประกอบด้วยอะไรบ้างและมีปริมาณเท่าไร (อ่านต่อเรื่องเครื่องฯ)
ผลการทดลองชี้ว่าภาชนะที่ระบุชื่ออันติยูกับเซเฟตนั้นมีส่วนประกอบพื้นฐานเป็นน้ำมันหรือน้ำมันทาร์ (Tar) จากไม้อย่างซีดาร์, ต้นสน, สนไซเปรส (Cypress) ร่วมกับการผสมไขมันสัตว์ หลังจากนั้นส่วนผสมรองต่อๆ มาจะมีความหลากหลายขึ้น
ไขมันสัตว์นั้นตรวจพบในภาชนะ 18 ชิ้น ประมาณ 51% จากตัวอย่าง ระบุเป็นของสัตว์เคี้ยวเอื้อง (Ruminant animal) ใน 7 ภาชนะ ส่วนน้ำมันพืชก็มีพบบ้างแต่พบในปริมาณที่น้อยกว่าประมาณ 14% หรือจากภาชนะ 5 ใบ เป็นน้ำมันสกัดจากพืชกลุ่มมะกอก อาจเป็นน้ำมันอาร์แกน (Argan oil) หรือน้ำมันฮาเซลนัต (Hazelnut oil) ไม่สามารถระบุได้ ที่น่าสนใจคือพบร่องรอยของน้ำมันละหุ่ง (Castor oil) ผสมร่วมกับน้ำมันชนิดอื่น ซึ่งน้ำมันละหุ่งมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรคและต้านการเติบโตของเชื้อรา จึงเป็นส่วนผสมที่เหมาะสำหรับการทำมัมมี่ แต่พบร่องรอยเพียงเล็กน้อยจากถ้วยหนึ่ง น้อยกว่าการพบร่องรอยของขี้ผึ้ง (Beeswax) ซึ่งพบใน 5 ตัวอย่าง (14%)
แม้วิเคราะห์กลางๆ แล้วส่วนผสมจากภาชนะที่แปะชื่ออันติยูกับเซเฟตจะคล้ายกันมากดังกล่าวไปข้างต้นแต่ก็ไม่เหมือนกันทั้งหมด ผู้ที่ทำการดองศพคงเลือกผสมสารตามสูตรของตนสำหรับการใช้งานบนส่วนต่างๆ ของร่างกาย บางโถใช้ไขมันสัตว์ผสมกับน้ำมันหรือน้ำมันทาร์ บางโถใช้ไขมันสัตว์เคี้ยวเอื้องผสมเอเลมี่ (Elemi)
สำหรับเอเลมี่ซึ่งปัจจุบันเรายังใช้สารสกัดน้ำมันหอมระเหยในงานผลิตเครื่องหอมต่างๆ มีการตรวจพบร่องรอยในภาชนะจำนวน 15 ใบ คิดเป็น 43% จากตัวอย่างทั้งหมด เอเลมี่ได้มาจากส่วนของยางไม้มีกลิ่นหอมเหมือนมดยอบและยางไม้สน (Frankincense) มีหลากชนิดและชื่อเรียกตามแหล่งกำเนิด ทั้งยังมีสารประกอบบางอย่างเฉพาะตัวที่ทำให้ระบุได้ว่าเอเลมี่ที่พบมาจากทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับทวีปอเมริกากลางและใต้
นอกจากยางไม้หอมที่กล่าวไปแล้ว ยังพบยางจากพืชสกุลพิสตาชีโอ (Pistacia) ในภาชนะจำนวน 5 ชิ้น (ราว 15% ของตัวอย่าง) กับดามาร์ กัม (Dammar gum) ยางของพืชสกุลยางนาที่ได้จากต้นไม้ชนิดหนึ่งในประเทศอินเดียและเอเชียตะวันออก โดยพบจากตัวอย่างที่เป็นชามเนื้อสีแดงจากโถงฝังศพ (Burial chamber)
บิทูเมนหรือยางมะตอย (Bitumen) ถูกพบในภาชนะจากห้องฝังศพจำนวน 2 ตัวอย่าง ศึกษาจากองค์ประกอบพบว่ามาจากพืชที่เติบโตในแถบทะเลเดดซี (Dead Sea)
เราจะเห็นได้ชัดว่าส่วนผสมต่างๆ นี้ใช้ส่วนประกอบในกลุ่มไขมันและยางไม้เป็นส่วนมาก เครื่องหอมเองก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ทำให้ในการเลือกสารกลุ่มยางไม้เน้นไปที่ยางไม้หอม ส่วนผสมบางชนิดมีคุณสมบัติในการช่วยคงสภาพของเนื้อเยื่อและขัดขวางการทำงานของเชื้อแบคทีเรียและราที่จะส่งผลต่อการเน่าสลายของศพ

เมื่อวิเคราะห์หลักฐานที่ได้จากห้องทดลองร่วมกับบริบทของที่พบในสถานปลงศพ เราอาจจะแบ่งกระบวนการและสารที่ใช้ในการทำมัมมี่ได้ดังนี้

1. การทำความสะอาดและตกแต่งภายนอกของร่างผู้ตาย
เศษภาชนะดินเผาที่มีการระบุว่าใช้ทำความสะอาดร่างกาย ดับกลิ่นไม่พึงประสงค์ จำนวน 6 ชิ้นที่เข้าไปตรวจสอบ ปรากฏว่ามีส่วนผสมเป็นน้ำมันหรือน้ำมันทาร์จากต้นสน ชามที่มีเขียนว่าใช้ดับกลิ่นนั้นมีการผสมไขมันสัตว์เคี้ยวเอื้องกับสารละลายยางไม้ของพืชกลุ่มเอเลมี่ (Burseraceae resin) ส่วนสารที่ใช้เพื่อรักษาสภาพผิวที่ระบุว่าใช้ในวันที่ 3 ของการดองศพปรากฏว่าเป็นไขมันสัตว์เคี้ยวเอื้องผสมขี้ผึ้งร้อน
2. การทำความสะอาดและตกแต่งภายใน
ข้อมูลนี้ได้มาจากภาชนะ 2 ชนิดที่ระบุนามเทพอิมเซติ (Imseti) ผู้ทำการคุ้มครองตับกับอีกภาชนะที่ระบุชื่อเทพดูอะมูเทฟ (Duamutef) ผู้คุ้มครองช่องท้อง ในส่วนของสารที่ใช้กับตับมีส่วนผสมของน้ำมันหรือน้ำมันทาร์จากต้นสน/สนไซเปรสกับเอเลมี่ ส่วนช่องท้องนั้นมีการใช้ขี้ผึ้งร้อนอย่างเดียวกับที่พบในตัวอย่างจากโถคาโนปิกในสุสานยุคราชวงศ์ที่ 26 จากผลงานศึกษาอื่น อาจกล่าวได้คร่าวๆ ว่าการคงสภาพของอวัยวะภายในของเทคนิคดองมัมมี่ยุคราชวงศ์ 26 นิยมใช้ขี้ผึ้งร้อนเป็นหลัก
3. การดูแลและตกแต่งศีรษะ (Treatment of the head)
ภาชนะหลายชิ้นระบุถึงการใช้งานกับศีรษะแต่มีส่วนผสมที่แตกต่างกัน จากภาชนะ 8 ชิ้นมีการตรวจพบความแตกต่างกันถึง 3 แบบ ในที่นี้ผู้ทำการทดลองแบ่งเป็น MIX A, B และ C ซึ่งจะใช้ส่วนผสมจากเอเลมี่, ยางไม้จากพืชสกุลพิสตาชีโอ้ นำมาผสมกับน้ำมันหรือน้ำมันทาร์จากต้นสน/สนไซเปรส และซีดาร์, ไขมันจากสัตว์, ขี้ผึ้ง และบางครั้งผสมน้ำมันพืชอย่างน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันละหุ่ง
จากการศึกษาในอดีตพบว่ามัมมี่จาก 1000 ปีก่อนคริสกาลเคยปรากฏร่องรอยของการใช้น้ำมันละหุ่งกับยางไม้จากพืชสกุลพิสตาชีโอ้เพื่อรักษาสภาพของศีรษะสอดคล้องกับการทดลองครั้งนี้ แต่ที่ต่างออกไปคือไม่เคยมีการพบเอเลมี่หรือน้ำมันทาร์จากพืชสกุลสนมาก่อน
ภาชนะหนึ่งระบุตำแหน่งทางการของผู้ถือตราตั้ง (The seal bearer) บริหารดูแลสถานปลงศพและนครแห่งความตาย ทำหน้าที่ในการดองมัมมี่โดยเฉพาะ ภายในชามที่มีตราดังกล่าวพบส่วนผสมที่โดดเด่นโดยผู้วิจัยได้เรียกส่วนผสมนี้ว่า MIX D พบการผสมไขมัน/น้ำมัน ร่วมกับน้ำมันทาร์จากต้นสน/สนไซเปรส ส่วนผสมนี้ใช้สำหรับชุบผ้าลินินสำหรับใช้พันร่างของมัมมี่บริเวณศีรษะ
4.การพันผ้าดองศพ (Wrap or Embalming)
จากการทดลองนักวิจัยสามารถระบุสูตรสำหรับดองศพหรือชุบผ้าห่อศพได้ 2 ประเภทจากภาชนะตัวอย่าง 8 ชิ้่น กำหนดชื่อเรียกส่วนผสมในรายงานว่า MIX D และ MIX E โดยชนิดแรกพบเป็นจำนวนน้อยมากโดยพบว่าใช้กับส่วนศีรษะ ประกอบด้วยการผสมไขมัน/น้ำมัน ร่วมกับน้ำมันทาร์จากต้นสน/สนไซเปรส
ส่วนผสม MIX E พบมากที่สุด โดยพบเป็นน้ำมันหรือน้ำมันทาร์จากต้นสน/สนไซเปรสกับซีดาร์, ไขมันสัตว์หรือไขมันจากพืช และที่ขาดไม่ได้คือเอเลมี่ ส่วนผสมนี้พบจากภาชนะจำนวน 5 ชิ้น 2 จาก 5 มีร่องรอยของการนำเอเลมี่กับไขมันไปผ่านความร้อน
ความรู้เดิมระบุว่ามีความนิยมใช้บิทูเมนกับขี้ผึ้งในการชุบหรือเคลือบผ้าลินินห่อศพ แต่ตัวอย่างดังกล่าวกลับไม่พบในมัมมี่อายุราว 1000 ปีก่อนคริสตกาลที่ซัคคาราซึ่งพบการใช้เอเลมี่กับพืชกลุ่มต้นสนมากกว่า และยังพบอยู่ในภาชนะตัวอย่างจากสถานปลงศพด้วย ในขณะไขมันจากสัตว์ผสมกับน้ำมันจากสนพบได้ในผ้าห่อมัมมี่ตั้งแต่ยุค 4000 ปีก่อนคริสกาล
สรุปว่าในการศึกษาครึั้งนี้สามารถตอบคำถามที่ค้างคาใจในเรื่องของอันติยูและเซเฟตได้ว่าประกอบด้วยน้ำมันหอม, น้ำมันทาร์หรือไขมันสัตว์ โดยไม่ได้จำกัดว่าเป็นมดยอบหรือกำยานเท่านั้น ส่วนผสมบางอย่างมีสรรพคุณทางยาที่ช่วยให้กระบวนการคงสภาพโดยลดการเน่าสลายของผู้ตายได้ ทั้งยังเคยมีการตรวจพบสารสกัดบางชนิดจากตัวร่างมัมมี่เองด้วย
อย่างไรก็ตามการค้นพบว่ามีสารสกัดบางชนิดมีถิ่นกำเนิดจากรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับกลุ่มพืชจากเอเชีย ทำให้เรามองเห็นว่าการค้าทางไกลมีความเฟื่องฟูตั้งแต่ช่วงยุคหลายพันปีก่อน การที่พบร่องรอยของเอเลมี่เป็นส่วนผสมสำคัญที่ใช้มากกล่าวได้ว่ามีการติดต่อนำเข้าสินค้าจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทวีปอเมริกากลางในระยะก่อนการเข้ามาปกครองของเปอร์เซีย, กรีก และโรมัน ซึ่งเป็นระยะที่การค้าระหว่างซีกโลกค่อนข้างเจริญงอกงาม มองย้อนกลับมาที่ทางคาบสมุทรมลายูก็พบความรุ่งเรืองทางการค้าทางไกลในช่วงเวลาเดียวกันด้วย
สำคัญที่สุดคือเราสามารถไขปริศนาบางส่วนที่ค้างคากันมาเป็นร้อยปีกันจนได้ และหวังว่าเทคนิคในการศึกษาด้วย Gas Chromatography-Mass Spectrometry จะช่วยตรวจสอบหลักฐานอื่นๆ จากโบราณวัตถุที่พบในอนาคตเพื่อให้นักโบราณคดีสามารถอธิบายพัฒนาการองค์ความรู้ด้านการแพทย์และการดองศพของอียิปต์โบราณได้อย่างละเอียดมากขึ้น
Featured Image : Illustration of embalming process in an underground chamber in Saqqara, provided by Nikola Nevenov in January. (AP/Nikola Nevenov)

References :
- Burakoff,M.(February 1, 2023).How to make a mummy: Ancient Egyptian workshop has new clues. Retrieved 4 February 2023, from https://phys.org/news/2023-02-mummy-ancient-egyptian-workshop-clues.html
- Diodorus Siculus. Library of History, Volume I: Books 1-2.34. Translated by C. H. Oldfather. Loeb Classical Library 279. Cambridge, MA: Harvard University Press, 1933.
- Ikram, S. (2023). Recipes and ingredients for ancient Egyptian mummification. Nature. https://doi.org/10.1038/d41586-023-00094-1
- Nalewicki,J.(February 1, 2023).Elaborate underground embalming workshop discovered at Saqqara.Livescience.Retrieved 4 February 2023, from https://www.livescience.com/embalming-workshop-ancient-egypt-saqqara
- Rageot, M., Hussein, R.B., Beck, S. et al. Biomolecular analyses enable new insights into ancient Egyptian embalming. Nature (2023). https://doi.org/10.1038/s41586-022-05663-4
- Weule,G.(February 2, 2023).Embalming recipes used on Egyptian mummies at ancient workshop near pyramids decoded.ABC.Retrieved 4 February 2023, from https://www.abc.net.au/news/science/2023-02-02/embalming-recipes-egyptian-mummies-workshop-saqqara/101907744

บทความนี้ข้อมูลละเอียดมากเลยค่ะ แค่วิเคราะห์หาน้ำยาดองมัมมี่ ทำให้ได้ทราบถึงความรุ่งเรืองของการค้าทางไกลในช่วงนั้นด้วย เป็นบทความที่อ่านแล้วเข้าใจมากยิ่งขึ้นเลยค่ะ
ถูกใจถูกใจ