โอนิหรือยักษ์ญี่ปุ่น สิ่งมีชีวิตในตำนานที่อยู่คู่วัฒนธรรมญี่ปุ่นมาอย่างแนบแน่น และเป็นโยไคที่มีรูปร่างหน้าตาหลากหลาย ด้วยความที่โอนิฝังรากลึกอยู่ในความเชื่อของแดนอาทิตย์อุทัยมายาวนานจึงเต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆ มากมาย แต่จะมีอะไรบ้าง ต้องมาลองค้นหาไปพร้อมกันในบทความนี้
ถึงแม้ว่าชาวไทยจะรู้จักกับโอนิที่ถูกแปลโดยคำว่า “ยักษ์” มาพอสมควร แต่แท้จริงแล้วโอนิ [鬼] คำนี้จะใช้เรียกแทนว่ายักษ์ตลอดก็ไม่เหมาะเสียทีเดียว ชาวญี่ปุ่นเรียกโอนิกับบางสิ่งที่เป็นยักษ์ ปีศาจ ไปจนถึงภูตอย่างที่ฝรั่งเรียกว่าออร์ค (ogre) และก็อบลิน (Goblin) ด้วย ทำให้การจะแปลคำนี้ต้องอาศัยบริบทประกอบจึงจะสามารถเรียกได้อย่างสมควร หรือไม่ก็อาจแทนที่ด้วยคำว่า “ปีศาจ” ก็คงจะดูครอบคลุมที่สุด
คันจิคำว่า 鬼 มีรากศัพท์ที่หมายถึง “ถูกซ่อน” (hidden) หรือ “ถูกปกปิด” (concealed) มาจากอักษรจีนของคำว่า “ผี” (ghost) พัฒนาการของคำนี้ค่อยๆ ถูกแปรเปลี่ยนและตีความใหม่ไปในแต่ละยุคสมัย เริ่มแรกคำว่าโอนิใช้เรียกทุกอย่างที่เป็นสิ่งเหนือธรรมชาติซึ่งรวมถึงผีและสัตว์ประหลาดด้วย แม้กระทั่งเทพเจ้า (God) ก็ยังเคยถูกเรียกด้วยคำนี้ บางครั้งคำว่าโอนิเองก็ถูกเอาไปใช้เปรียบเทียบหรือเรียกคนที่ร้ายกาจหรือโหดเหี้ยมมากด้วย
รูปลักษณ์ของโยไคชนิดนี้มีหลากหลายแบบตามที่ปรากฏในตำนานต่างๆ มักจะมีลักษณะคล้ายคนแต่มีขนาดตัวที่สูงใหญ่และน่ากลัว ความสูงบางครั้งมากกว่าต้นไม้ มีสีผิวเป็นสีแดง, น้ำเงินหรือดำ มีกงเล็บแหลมคม บนศีรษะมี 1-2 เขาไม่ก็มากกว่า แน่นอนว่าต้องมีเขี้ยวและเส้นผมที่ยุ่งเหยิง แต่งกายด้วยการนุ่งห่มผ้าเตี่ยวที่เรียกว่า “ฟุนโดชิ” [褌] ทำจากหนังของเสือ อาวุธคู่กายเป็นกระบองหรือแท่งเหล็ก

ด้วยอิทธิพลจากความเชื่ออื่น บางครั้งภาพของโอนิก็ถูกวาดโดยมีดวงตาที่ 3 บนหน้าผากคล้ายกับสิ่งเหนือธรรมชาติในศาสนาฮินดูและพุทธ ส่วนการวาดภาพโอนิที่มีเขาและนุ่งห่มหนังเสือมีนัยยะสื่อถึงทิศของประตูผีหรือ “คิมง” [鬼門] ทิศตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นองศาที่เกิดจากทิศฉลูมาบรรจบกับทิศขาล ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าทิศดังกล่าวเป็นทางผ่านของภูตผีปีศาจ ส่งผลให้ช่วงเวลาที่ตรงกับภาคทิศอย่าง 2.30 น.ตามหน้าปัดนาฬิกากลายเป็นช่วงเวลาผีออก เหมาะสำหรับการทำพิธีสาปแช่งที่สุด
หลักฐานของโอนิค้นพบเก่าแก่ไปถึงคริสต์ศตวรรษที่ 8 ในหนังสือโคะจิกิ [古事記], นิฮงโชกิ [日本書紀] และหนังสือประเภทบันทึกฉบับราษฎร์อย่างฟุโดกิ [風土記] ในบันทึกเก่าๆ นั้นอ่านเสียงอักษร 鬼 นี้เป็นอีกแบบคือ “กิ” ซึ่งจะถูกนำไปผสมอยุ่กับคำอื่นกลายเป็นกลุ่มคำใช้เรียกสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่นในกรณีของชื่อภาพวาดขบวนร้อยวิญญาณหรือ “เฮี๊ยกกิยากิว” [百鬼夜行] เป็นต้น

นักคติชนวิทยามีความเห็นเกี่ยวกับที่มาของโอนิแตกต่างกัน บางส่วนมองว่าโยไคชนิดนี้เป็นผลผลิตมาจากตำนานในความเชื่อแบบพุทธศาสนาที่เข้ามาในญี่ปุ่น ขณะที่บางส่วนมองว่าต้นเค้าของโอนิมีปรากฏอยู่ในศาสนาดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่นอยู่ก่อนแล้ว จึงค่อยมีการผสมผสานรูปลักษณ์เข้ากับสิ่งมีชีวิตในตำนานพุทธภายหลัง
ในความเชื่อแบบชินโต โอนิอาจถือได้ว่าเป็นรูปดุร้ายของเทพเจ้าหรือคามิ [神] จัดอยู่ในกลุ่มเทพเจ้าแห่งแดนอื่น-มรณภูมิ บางทีเรียกว่า “มาเรบิโตะ” [稀人] ที่เชื่อกันว่าเป็นเทพที่เดินทางมาเยี่ยมเยียนมนุษย์ในช่วงคืนปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติ มักสวมเครื่องแต่งกายอย่างนักเดินทางเป็นเสื้อคลุมและหมวกทำจากฟาง การมาของมาเระบิโตะจะนำพาโชคดีมาให้ คนญี่ปุ่นโบราณจึงมักปฏิบัติอย่างดีกับเทพองค์นี้ ก่อนที่เมื่อพุทธศาสนาจะทำให้ภาพของเทพพลัดถิ่นถูกผสมกับรากษสและปีศาจหัววัวที่เรียกว่า “โกซึ” [牛頭] ผู้ทำหน้าที่คอยทรมานเหล่าคนบาปในนรก ด้วยเหตุนี้ภาพของโอนิจึงถูกนำไปวาดอยู่ในภาพเขียนฉากนรกหลายภาพนับแต่นั้นเป็นต้นมา
โอนิมีความแข็งแรงรวมถึงมีพลังวิเศษ บางเรื่องเล่ายังกล่าวถึงพลังในการเนรมิตหรือทำนายอนาคตได้ ไปจนถึงเป็นตัวการที่นำเอาภัยพิบัติเข้ามาสู่สังคมมนุษย์ เรื่องราวของโอนิแม้มีความหลากหลายแต่ก็ยังครอบคลุมลักษณะร่วมดังข้างต้น อีกภาพที่นิยมกันคือการวาดภาพโอนิในเครื่องแต่งกายอย่างพระสงฆ์ เนื่องจากว่าในบางครั้งพฤติกรรมในทางลบของพระถูกผนวกเข้ากับความเป็นโอนิ อาจเป็นการครอบงำทางวิญญาณหรือเป็นสัญลักษณ์เพื่อสื่อถึงความชั่วร้าย จึงมีภาพวาดจำนวนไม่น้อยของโอนิที่อยู่ในคราบของปลอมตัวเป็นพระ

ภาพแรกๆ ของโอนิในงานศิลปะมาจากฉากนรกภูมิของพุทธศาสนา ตั้งแต่ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 เรียกว่า “จิโกคุ-โซชิ” [地獄草紙] โดยอาจมีการใช้ภาพต้นแบบของเทพสายฟ้าหรือไรจิน [雷神] ซึ่งมักมีลักษณะดูดุร้าย ภาพของโอนิที่ถูกผสมกับไรจินเป็นหนึ่งเดียวกันก็ยังปรากฏในภาพชุดตำนานการก่อตั้งวัดคิตาโนะและประวัติของสุกะวะระ โนะ มิจิซาเนะ [北野天神縁起絵巻] ที่วาดตัววิญญาณของมิจิซาเนะในรูปของเทพสายฟ้าผู้มีรูปร่างแบบโอนิสีแดง
ในฉากม้วนภาพนรก โอนิถือเป็นบริวารของเอ็นมะคือยมบาล จ้าวแห่งนรก พวกมันทำหน้าที่ในการทรมานมนุษย์ต่างๆ นาๆ แต่ว่ากันว่าต้นกำเนิดของโอนิเองก็มาจากคนบาปที่ต้องมาชดใช้กรรมในฐานะโอนิ ไม่ใช่เพียงผ่านการตายเพื่อเกิดใหม่ในความชั่วเท่านั้น โอนิหลายตนถือกำเนิดจากมนุษย์ปกติที่มีความเคียดแค้นและจิตไม่บริสุทธิ์จนพัฒนาจากคนธรรมดากลายเป็นโอนิในที่สุด ตัวอย่างที่โด่งดังอย่างหนึ่งคือเรื่องราวของฮาชิฮิเมะ สตรีผู้มีความแค้นจนกลายเป็นภูตผีที่สิงสู่ในสะพานเก่าแก่
เรื่องราวของโอนิมีมากมายในแต่ละท้องถิ่น ทั้งยังมีการพัฒนาจนกลายเป็นโยไคที่มีชื่อเสียงโด่งดังอีกหลายตัวโดยมีชื่อเรียกที่แตกต่างออกไป ตั้งแต่คิโจ [鬼女] ที่หมายถึงยักษ์สตรี,ยามะอุบะ,ชูเท็นโดจิ [酒呑童子], ซาซาเอะ โอนิ [栄螺鬼] ไปจนถึงอุชิโอนิ [牛鬼] ซึ่งเราจะกล่าวถึงในคราวต่อๆ ไป แต่หากใครที่ยังอยากเสพเรื่องราวแฟนตาซีแอคชั่นสนุกๆ เกี่ยวกับโอนิ ในคอมิคเรื่องข้ามเวลามาเป็นสาวเสริฟที่ทางเราขยันแนะนำและป้ายยาก็มี แถมยังเป็นโยไคตัวเป้ง แต่เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ขอแนะนำให้ไปติดตามเอาเองตามช่องทางด้านล่างได้เลย!
“ข้ามเวลามาเป็นสุดยอดสาวเสิร์ฟ” โดยทีม Flapper_Studio V.2 อ่านกันได้ที่ wecomics คลิกที่ข้อความลิ้งหรือรูปภาพด้านล่าง งานดีๆ แบบนี้เราขอแนะนำ
คลิก!! https://wecomics.sng.link/Ajgd0/svuc/bnzg

Featured Image : Kukai (Kobo Daishi) Practicing the Tantra, with a Demon (Oni) and Wolf, by Katsushika Hokusai 葛飾北斎 (1760-1849)
References :
- Foster, Michael Dylan.(2015). The Book of Yōkai: Mysterious Creatures of Japanese Folklore.Oakland: University of California Press.
- Meyer, M. (2015). The night parade of one hundred demons (2nd ed.).
- Reider, N. T. (2010). Japanese demon lore: Oni, from ancient times to the present. Utah: Utah State University Press.

