#โยไคอะไรเนี่ย EP18 Oni [鬼] ยักษ์ปีศาจ

โอนิหรือยักษ์ญี่ปุ่น สิ่งมีชีวิตในตำนานที่อยู่คู่วัฒนธรรมญี่ปุ่นมาอย่างแนบแน่น และเป็นโยไคที่มีรูปร่างหน้าตาหลากหลาย ด้วยความที่โอนิฝังรากลึกอยู่ในความเชื่อของแดนอาทิตย์อุทัยมายาวนานจึงเต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆ มากมาย แต่จะมีอะไรบ้าง ต้องมาลองค้นหาไปพร้อมกันในบทความนี้

ถึงแม้ว่าชาวไทยจะรู้จักกับโอนิที่ถูกแปลโดยคำว่า “ยักษ์” มาพอสมควร แต่แท้จริงแล้วโอนิ [鬼] คำนี้จะใช้เรียกแทนว่ายักษ์ตลอดก็ไม่เหมาะเสียทีเดียว ชาวญี่ปุ่นเรียกโอนิกับบางสิ่งที่เป็นยักษ์ ปีศาจ ไปจนถึงภูตอย่างที่ฝรั่งเรียกว่าออร์ค (ogre) และก็อบลิน (Goblin) ด้วย ทำให้การจะแปลคำนี้ต้องอาศัยบริบทประกอบจึงจะสามารถเรียกได้อย่างสมควร หรือไม่ก็อาจแทนที่ด้วยคำว่า “ปีศาจ” ก็คงจะดูครอบคลุมที่สุด

คันจิคำว่า 鬼 มีรากศัพท์ที่หมายถึง “ถูกซ่อน” (hidden) หรือ “ถูกปกปิด” (concealed) มาจากอักษรจีนของคำว่า “ผี” (ghost) พัฒนาการของคำนี้ค่อยๆ ถูกแปรเปลี่ยนและตีความใหม่ไปในแต่ละยุคสมัย เริ่มแรกคำว่าโอนิใช้เรียกทุกอย่างที่เป็นสิ่งเหนือธรรมชาติซึ่งรวมถึงผีและสัตว์ประหลาดด้วย แม้กระทั่งเทพเจ้า (God) ก็ยังเคยถูกเรียกด้วยคำนี้ บางครั้งคำว่าโอนิเองก็ถูกเอาไปใช้เปรียบเทียบหรือเรียกคนที่ร้ายกาจหรือโหดเหี้ยมมากด้วย

โฆษณา

รูปลักษณ์ของโยไคชนิดนี้มีหลากหลายแบบตามที่ปรากฏในตำนานต่างๆ มักจะมีลักษณะคล้ายคนแต่มีขนาดตัวที่สูงใหญ่และน่ากลัว ความสูงบางครั้งมากกว่าต้นไม้ มีสีผิวเป็นสีแดง, น้ำเงินหรือดำ มีกงเล็บแหลมคม บนศีรษะมี 1-2 เขาไม่ก็มากกว่า แน่นอนว่าต้องมีเขี้ยวและเส้นผมที่ยุ่งเหยิง แต่งกายด้วยการนุ่งห่มผ้าเตี่ยวที่เรียกว่า “ฟุนโดชิ” [褌] ทำจากหนังของเสือ อาวุธคู่กายเป็นกระบองหรือแท่งเหล็ก

Sessen Doji Offering His Life to an Ogre (Japanese Oni) by Soga Shōhaku (曾我蕭白) (1730–1781), hanging scroll, color on paper, c. 1764, Keishoji temple, Mie prefecture.via wikimedia

ด้วยอิทธิพลจากความเชื่ออื่น บางครั้งภาพของโอนิก็ถูกวาดโดยมีดวงตาที่ 3 บนหน้าผากคล้ายกับสิ่งเหนือธรรมชาติในศาสนาฮินดูและพุทธ ส่วนการวาดภาพโอนิที่มีเขาและนุ่งห่มหนังเสือมีนัยยะสื่อถึงทิศของประตูผีหรือ “คิมง” [鬼門] ทิศตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นองศาที่เกิดจากทิศฉลูมาบรรจบกับทิศขาล ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าทิศดังกล่าวเป็นทางผ่านของภูตผีปีศาจ ส่งผลให้ช่วงเวลาที่ตรงกับภาคทิศอย่าง 2.30 น.ตามหน้าปัดนาฬิกากลายเป็นช่วงเวลาผีออก เหมาะสำหรับการทำพิธีสาปแช่งที่สุด

หลักฐานของโอนิค้นพบเก่าแก่ไปถึงคริสต์ศตวรรษที่ 8 ในหนังสือโคะจิกิ [古事記], นิฮงโชกิ [日本書紀] และหนังสือประเภทบันทึกฉบับราษฎร์อย่างฟุโดกิ [風土記] ในบันทึกเก่าๆ นั้นอ่านเสียงอักษร 鬼 นี้เป็นอีกแบบคือ “กิ” ซึ่งจะถูกนำไปผสมอยุ่กับคำอื่นกลายเป็นกลุ่มคำใช้เรียกสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่นในกรณีของชื่อภาพวาดขบวนร้อยวิญญาณหรือ “เฮี๊ยกกิยากิว” [百鬼夜行] เป็นต้น

 from the Konjaku Gazu Zoku Hyakki (今昔画図続百鬼) by Toriyama Sekien (鳥山石燕).via wikimedia

นักคติชนวิทยามีความเห็นเกี่ยวกับที่มาของโอนิแตกต่างกัน บางส่วนมองว่าโยไคชนิดนี้เป็นผลผลิตมาจากตำนานในความเชื่อแบบพุทธศาสนาที่เข้ามาในญี่ปุ่น ขณะที่บางส่วนมองว่าต้นเค้าของโอนิมีปรากฏอยู่ในศาสนาดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่นอยู่ก่อนแล้ว จึงค่อยมีการผสมผสานรูปลักษณ์เข้ากับสิ่งมีชีวิตในตำนานพุทธภายหลัง

ในความเชื่อแบบชินโต โอนิอาจถือได้ว่าเป็นรูปดุร้ายของเทพเจ้าหรือคามิ [神] จัดอยู่ในกลุ่มเทพเจ้าแห่งแดนอื่น-มรณภูมิ บางทีเรียกว่า “มาเรบิโตะ” [稀人] ที่เชื่อกันว่าเป็นเทพที่เดินทางมาเยี่ยมเยียนมนุษย์ในช่วงคืนปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติ มักสวมเครื่องแต่งกายอย่างนักเดินทางเป็นเสื้อคลุมและหมวกทำจากฟาง การมาของมาเระบิโตะจะนำพาโชคดีมาให้ คนญี่ปุ่นโบราณจึงมักปฏิบัติอย่างดีกับเทพองค์นี้ ก่อนที่เมื่อพุทธศาสนาจะทำให้ภาพของเทพพลัดถิ่นถูกผสมกับรากษสและปีศาจหัววัวที่เรียกว่า “โกซึ” [牛頭] ผู้ทำหน้าที่คอยทรมานเหล่าคนบาปในนรก ด้วยเหตุนี้ภาพของโอนิจึงถูกนำไปวาดอยู่ในภาพเขียนฉากนรกหลายภาพนับแต่นั้นเป็นต้นมา

โฆษณา

โอนิมีความแข็งแรงรวมถึงมีพลังวิเศษ บางเรื่องเล่ายังกล่าวถึงพลังในการเนรมิตหรือทำนายอนาคตได้ ไปจนถึงเป็นตัวการที่นำเอาภัยพิบัติเข้ามาสู่สังคมมนุษย์ เรื่องราวของโอนิแม้มีความหลากหลายแต่ก็ยังครอบคลุมลักษณะร่วมดังข้างต้น อีกภาพที่นิยมกันคือการวาดภาพโอนิในเครื่องแต่งกายอย่างพระสงฆ์ เนื่องจากว่าในบางครั้งพฤติกรรมในทางลบของพระถูกผนวกเข้ากับความเป็นโอนิ อาจเป็นการครอบงำทางวิญญาณหรือเป็นสัญลักษณ์เพื่อสื่อถึงความชั่วร้าย จึงมีภาพวาดจำนวนไม่น้อยของโอนิที่อยู่ในคราบของปลอมตัวเป็นพระ

Demon Intoning the Name of the Buddha https://www.clevelandart.org/art/1982.26

ภาพแรกๆ ของโอนิในงานศิลปะมาจากฉากนรกภูมิของพุทธศาสนา ตั้งแต่ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 เรียกว่า “จิโกคุ-โซชิ” [地獄草紙] โดยอาจมีการใช้ภาพต้นแบบของเทพสายฟ้าหรือไรจิน [雷神] ซึ่งมักมีลักษณะดูดุร้าย ภาพของโอนิที่ถูกผสมกับไรจินเป็นหนึ่งเดียวกันก็ยังปรากฏในภาพชุดตำนานการก่อตั้งวัดคิตาโนะและประวัติของสุกะวะระ โนะ มิจิซาเนะ [北野天神縁起絵巻] ที่วาดตัววิญญาณของมิจิซาเนะในรูปของเทพสายฟ้าผู้มีรูปร่างแบบโอนิสีแดง

ในฉากม้วนภาพนรก โอนิถือเป็นบริวารของเอ็นมะคือยมบาล จ้าวแห่งนรก พวกมันทำหน้าที่ในการทรมานมนุษย์ต่างๆ นาๆ แต่ว่ากันว่าต้นกำเนิดของโอนิเองก็มาจากคนบาปที่ต้องมาชดใช้กรรมในฐานะโอนิ ไม่ใช่เพียงผ่านการตายเพื่อเกิดใหม่ในความชั่วเท่านั้น โอนิหลายตนถือกำเนิดจากมนุษย์ปกติที่มีความเคียดแค้นและจิตไม่บริสุทธิ์จนพัฒนาจากคนธรรมดากลายเป็นโอนิในที่สุด ตัวอย่างที่โด่งดังอย่างหนึ่งคือเรื่องราวของฮาชิฮิเมะ สตรีผู้มีความแค้นจนกลายเป็นภูตผีที่สิงสู่ในสะพานเก่าแก่

เรื่องราวของโอนิมีมากมายในแต่ละท้องถิ่น ทั้งยังมีการพัฒนาจนกลายเป็นโยไคที่มีชื่อเสียงโด่งดังอีกหลายตัวโดยมีชื่อเรียกที่แตกต่างออกไป ตั้งแต่คิโจ [鬼女] ที่หมายถึงยักษ์สตรี,ยามะอุบะ,ชูเท็นโดจิ [酒呑童子], ซาซาเอะ โอนิ [栄螺鬼] ไปจนถึงอุชิโอนิ [牛鬼] ซึ่งเราจะกล่าวถึงในคราวต่อๆ ไป แต่หากใครที่ยังอยากเสพเรื่องราวแฟนตาซีแอคชั่นสนุกๆ เกี่ยวกับโอนิ ในคอมิคเรื่องข้ามเวลามาเป็นสาวเสริฟที่ทางเราขยันแนะนำและป้ายยาก็มี แถมยังเป็นโยไคตัวเป้ง แต่เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ขอแนะนำให้ไปติดตามเอาเองตามช่องทางด้านล่างได้เลย!


ข้ามเวลามาเป็นสุดยอดสาวเสิร์ฟ” โดยทีม Flapper_Studio V.2 อ่านกันได้ที่ wecomics คลิกที่ข้อความลิ้งหรือรูปภาพด้านล่าง งานดีๆ แบบนี้เราขอแนะนำ

คลิก!! https://wecomics.sng.link/Ajgd0/svuc/bnzg

โฆษณา

Featured Image : Kukai (Kobo Daishi) Practicing the Tantra, with a Demon (Oni) and Wolf, by Katsushika Hokusai 葛飾北斎 (1760-1849)

References :

  • Foster, Michael Dylan.(2015). The Book of Yōkai: Mysterious Creatures of Japanese Folklore.Oakland: University of California Press.
  • Meyer, M. (2015). The night parade of one hundred demons (2nd ed.).
  • Reider, N. T. (2010). Japanese demon lore: Oni, from ancient times to the present. Utah: Utah State University Press.